วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2561

วิชาอังกฤษ



การเรียนรู้ภาษาใหม่เพิ่มอีก 1 ภาษามักจะเริ่มเรียนกันตั้งแต่วัยเด็ก สำหรับประเทศไทยเราก็เช่นกัน เราได้เรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ 2ในชั้นเรียนมาตั้งแต่เริ่มเข้าเรียนเนื่องจากทุกคนเห็นความสำคัญ ของการติดต่อสื่อสารกับคนอื่นที่อาศัยอยู่ในประเทศต่างๆทั่วโลก ทำให้เราต้องมีภาษากลางที่จะใช้ช่วยในการติดต่อสื่อสาร ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่มีการใข้อย่างกว้างขวางในทั่วโลก สื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ อินเทอร์เน็ต ล้วนแต่ทำให้เราเห็นความสำคัญ ของภาษาอังกฤษมากขึ้น และก็ไม่มีคำว่าสายเกินไปสำหรับการเรียนรู้ ถึงแม้คุณจะมีหรือไม่เคยมีพื้นฐานทางภาษามาก่อนเลย Modulo ก็ยินดีที่จะช่วยคุณให้ได้เรียนภาษาได้อย่างสนุก ได้ผลเร็ว และนำไปใช้ได้จริง เพราะเป็นที่รู้กันว่าภาษาอังกฤษมีบทบาทในการช่วยเราในหลายสถานการณ์
โลกของการใช้ภาษาอังกฤษ

ประเทศอังกฤษเป็นที่แรกในโลก ที่มีการใช้ภาษาอังกฤษ ต่อมา ก็มีการใช้ภาษานี้กันอย่างกว้างขวางทั่วโลก ภาษาอังกฤษยังเป็นภาษาทางการ ของในอีกหลายประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย ไอร์แลนด์ นิวซีแลนด์ และในอีกหลายประเทศ เรายังทราบกันอีกว่า มีภาษาอังกฤษเป็นหนึ่งในภาษา ที่ประชากรทั่วโลก ใช้กันมากที่สุด ทำให้มีการเรียนภาษาอังกฤษ เป็นภาษาที่สองในแต่ละประเทศ นอกจากนี้ยังเป็นภาษาที่ใช้ในทางการของ องค์กรสำคัญๆของโลก เช่น United Nations เป็นต้น



และเนื่องจากมีการใช้ภาษาอังกฤษกัน อย่างกว้างขวางทั่วโลก จึงมีการกล่าวกันบ่อยๆ ว่าภาษาอังกฤษคือภาษาโลก ซึ่งถึงแม้จะไม่ได้ เป็นภาษาทางการของในประเทศทั่วโลก เป็นส่วนใหญ่ แต่ก็เป็นภาษาที่แต่ละประเทศ ได้ให้มีการเรียนการสอนเป็นภาษาต่างประเทศ ในมาตรฐานของการศึกษา นอกจากนี้ยังใช้เป็นภาษาหลักในการสื่อสารของระบบทางเดินอากาศ และระบบการเดินเรือ ทั่วโลก เรายังไม่่ได้กล่าวถึง หนังสือมากมายที่พิมพ์จำหน่ายเป็นภาษาอังกฤษ หลักความรู้ทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ ก็ใช้ภาษาอังกฤษ จะเห็นได้ว่าภาษาอังกฤษมีความสำคัญกับเราอย่างเห็นได้ชัดเจน


บทสนทนาภาษาอังกฤษเบื้องต้น ฉบับง่ายๆใช้ได้ในชีวิตประจำวัน



Hello. – การแนะนำตัวเอง

Where are you from? – คุณมาจากไหน

What do you do? คุณทำงานอะไร

Goodbye. ลาก่อน

Nice to see you again? ดีใจที่ได้เจอคุณอีกครั้ง

Where do you work? คุณทำงานที่ไหน

Where do you go to school? คุณเรียนอยู่ที่ไหน

What sport do you like? คุณชอบกีฬาอะไร

What animal do you like? สัตว์อะไรที่คุณชอบ

What kind of fruit do you like? ผลไม้ชนิดไหนที่คุณ

Can you speak French? คุณพูดภาษาฝรั่งเศสได้ไหม

Can you play football? คุณเล่นฟุตบอลเป็นไหม

Can you play the piano? คุณเล่นเปียโนเป็นไหม

Can you sing? คุณร้องเพลงเป็นไหม

Who is your favourite singer? นักร้องคนโปรดของคุณคือใคร

Who is your favourite star? ดาราคนโปรดของคุณคือใคร

What kind of music do you like? คุณชอบดนตรีแนวไหน

What kind of food do you like? คุณชอบอาหารชนิดไหน

What color do you like? คุณชอบสีอะไร

What movie do you like? คุณชอบภาพยนต์เรื่องไหน

What time do you get up? คุณตื่นนอนเวลากี่โมง

What time is it? มันคือเวลาเท่าไหร่

How tall are you? คุณสูงเท่าไหร่

How old are you? คุณอายุเท่าไหร่

When is your birthday? วันเกิดของคุณเมื่อไหร่

What are those? เหล่าโน้นคืออะไร

What are these? เหล่านี้คืออะไร

What’s that? นั่นคืออะไร

What’s this? นี่คืออะไร

Do you like Thailand? คุณชอบประเทศไทยไหม่

What’s your phone number? เบอร์โทรศัพท์ของคุณคืออะไร

What day is it today? วันนี้วันวันอะไร

What’s your nationality สัญชาติของคุณคืออะไร

How do you go to schoo? คุณไปโรงเรียนอย่างไร

What do you do after school? คุณทำอะไรหลังเลิกเรียน

What do you do in your free time? คุณทำอะไรในเวลาว่าง

How often do you play football? คุณเล่นฟุตบอลบ่อยแค่ไหน

What do you want to be when you grow up? โตขึ้นคุณอยากเป็นอะไร

Do you have any pets? คุณมีสัตว์เลี้ยงไหม

How many people are there in your family? ในครอบครัวของคุณมีกี่คน

How many brothers and sisters do you have? คุณมีพี่น้องกี่คน

Who do you live with? คุณอาศัยอยู่กับใคร

What is your sister’s name? พี่สาวของคุณชื่ออะไร

What is your brother’s name? พี่ชายของคุณชื่ออะไร

วิชาคริสศาสนา


คริสต์ศาสนา (Christianity) เป็นศาสนาที่นับถือศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว คือพระยาเวห์(นิกายโรมันคาทอลิค,นิกายออโธดอกซ์) หรือ พระเยโฮวาห์(นิกายโปรเตสแทนท์) มีพระเยซูคริสต์เป็นศาสดา คริสตศาสนาเชื่อในพระเจ้าองค์เดียวซึ่งดำรงในสามพระภาค ในพระลักษณะ"ตรีเอกภาพ" หรือ "ตรีเอกานุภาพ" (Trinity) คือ พระบิดา, พระบุตร และพระจิต(พระวิญญาณบริสุทธิ์) มีพระคัมภีร์คือ พระคริสตธรรมคัมภีร์ หรือ คัมภีร์ไบเบิล (The Bible) ศาสนาคริสต์มีผู้นับถือประมาณ 2,100 ล้านคน ถือว่าเป็นศาสนาที่มีจำนวนผู้นับถือมากที่สุดในโลก

ศาสนาคริสต์มีรากฐานมาจากศาสนายูดาย (หรือศาสนายิว) โดยมีเนื้อหาและความเชื่อบางส่วนเหมือนกัน โดยเฉพาะคัมภีร์ไบเบิลฮิบรู ที่คริสตศาสนิกชนรู้จักในชื่อ พันธสัญญาเดิม (The Old Testament)โดยในพระคริสตธรรมคัมภีร์ 5 เล่มแรกจากทั้งหมด 46 เล่มในภาคพันธสัญญาเดิม ที่เรียกว่า ปัญจบรรพ (Pentateuch) ได้รับการนับถือเป็นพระคัมภีร์ของศาสนายูดาย และศาสนาอิสลาม ด้วยเช่นกัน โดยในพระธรรมหลายตอนได้พยากรณ์ถึงพระเมสสิยาห์ (Messiah)ที่ชาวคริสต์เชื่อว่า คือ พระเยซู เช่น พระธรรมอิสยาห์ บทที่ 53 เป็นต้น

คริสตชนนั้นมีความเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้าที่มาบังเกิดเป็นมนุษย์ ทางหญิงพรมจารีโดยฤทธิ์อำนาจของพระจิต เพื่อไถ่มนุษย์ให้พ้นจากความบาปโดยการสิ้นพระชนม์ที่กางเขน และทรงฟื้นขึ้นมาจากความตายในสามวันหลังจากนั้น และเสด็จสู่สวรรค์ประทับเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระบิดา ผู้ที่เชื่อศรัทธาในพระองค์จะได้รับการอภัยโทษบาป และจะรอดพ้นจากการพิพากษาในวันสิ้นยุค และได้เข้าสู่ชีวิตนิรันดร์ในแผ่นดินสวรรค์

วิชาศิลปะ

ความรู้พื้นฐานทางศิลปะ
1. ศิลปกรรม
เป็นวิชาที่ว่าด้วยความรู้พื้นฐานทั่วไปเกี่ยวกับศิลปะ รวมทั้งหลักเกณฑ์การ
สร้างสรรค์ และคุณค่าของศิลปะ ทำให้ผู้ศึกษาเข้าใจ ประทับใจในศิลปะ แล้วนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ให้เป็นประโยชน์ในชีวิตประจำวันของตนเองและสังคม

1.1 ความหมายของศิลปะ
ศิลปะ (ART) เป็นคำที่มีความหมายกว้าง และมีค่านิยมที่ไม่แน่นอนตายตัว 
ขึ้นอยู่กับผู้ให้คำนิยาม เช่น ศิลปิน นักการศึกษาทางศิลปะ และนักวิจารณ์ศิลปะ เป็นต้น จึงพอจะสรุปได้ว่า
“ศิลปะ คือ ผลงานของมนุษย์ที่สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อความงามและความพึง
พอใจของมนุษย์”

1.2 ความงามของธรรมชาติและความงามของศิลปะ
ความงามของธรรมชาติ ธรรมชาติ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามกฎเกณฑ์ของ
ความเป็นจริง โดยส่วนรวมเกิดขึ้นตาม วัฏจักรของตนเอง และมีความจำเป็นต่อการดำรงชีพ มนุษย์เราอาศัยธรรมชาติเพื่อประโยชน์ทางร่างกายและทางจิตใจ เช่น ธรรมชาติทำให้เราเกิดความรู้สึกมีความสุขสดชื่น แจ่มใส และเบิกบาน เมื่อเราได้พบเห็น หรือไม่ได้รับอากาศอันบริสุทธิ์ที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติ
ความงามของศิลปะ คือ ความงามที่เกิดจากการสร้างสรรค์จากความคิด สติปัญญา ของมนุษย์เท่านั้น ซึ่งแบ่งออกได้ ดังนี้
1. โดยการพิจารณาตามรูปแบบของศิลปะ ประกอบด้วย
1.1 ความงามของจิตรกรรม คือ ความงามที่แสดงออกเกี่ยวกับ เส้น สี แสง – เงา รูปร่าง
1.2 ความงามของปติมากรรม คือ ความงามที่แสดงออกให้เห็นถึง ปริมาตร แสง – เงา สัดส่วน
1.3 ความงามของสถาปัตยกรรม คือ ความงามที่แสดงออกให้เห็นรูปร่าง รูปทรง ปริมาตร บริเวณว่าง ความสะดวกในการใช้สอย
2. โดยการพิจารณาตามลักษณะของความมุ่งหมายในการแสดงออกประกอบด้วย
2.1 สร้างขึ้นเพื่อบรรยายหรืออธิบายตามเรื่องราว
2.2 สร้างขึ้นเพื่อแสดงออกเพื่ออารมณ์ตามความรู้สึก
2.3 สร้างขึ้นเพื่อประดับตกแต่งให้สวยงาม

1.3 คุณค่าของศิลปะ
1.3.1 คุณค่าของศิลปะทางความรู้สึกเช่น ความงาม ความเชื่อ เป็นต้น
1.3.2 คุณค่าของศิลปะทางการอำนวยประโยชน์ เช่น การอยู่อาศัย
1.3.3 คุณค่าของศิลปะในทางช่วยสร้างสรรค์ความเจริญเช่น ด้านมนุษยธรรม

2. ประเภทของศิลปะ (Classification of art)
แบ่งออกได้สองประเภท คือ
2.1 วิจิตรศิลป์ (Fine art) บางที่เราก็เรียกว่าประณีตศิลป์ หมายถึง ศิลปะที่
ตอบสนองความต้องการของมนุษย์ด้านจิตใจและอารมณ์แบ่งออกได้เป็น 5 แขนง คือ
2.1.1 จิตรกรรม หมายถึง การวาดภาพโดยใช้วัสดุการเขียนลงบนพื้นระนาบ
2.1.2 ประติมากรรม หมายถึง การปั้น การแกะสลัก และการหล่อ
2.1.3 สถาปัตยกรรม หมายถึง การออกแบบสิ่งก่อสร้างและที่อยู่อาศัย
2.1.4 วรรณกรรม หมายถึงการประพันธ์ต่างๆ
2.1.5 นาฏศิลป์และดุริยางคศิลป์ หมายถึง ศิลปะที่แสดงออกทางท่าทางและทางเสียงที่มีจังหวะ

2.2 ประยุกต์ศิลป์ (Applied art) หมายถึง ศิลปะที่ตอบสนองความต้องการทางร่างกาย จิตใจ ได้แก่
2.2.1 พาณิชยศิลป์ หรือศิลป์เพื่อการค้า
2.2.2 อุตสาหกรรมศิลป์ หมายถึง ศิลป์ที่เป็นผลผลิตด้านอุตสาหกรรม
2.2.3 มัณฑนศิลป์ หมายถึง ศิลปะการออกแบบตกแต่ง ภายใน – ภายนอก
2.2.4 ศิลปหัตถกรรม หมาย ศิลปะที่ทำด้วยมือเป็นส่วนใหญ่ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “หัตถศิลป์”

ความเป็นมาของประยุกต์ศิลป์ มีบทบาทต่อสังคมมาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์และ
ได้เจริญขึ้นตามกาลเวลา รูปแบบเปลี่ยนไปตามความนิยมของแต่ละยุคสมัย ซึ่งจำแนกได้ ดังนี้
1. ความต้องการทางประโยชน์ใช้สอย
2. สภาพทางสังคมตามสภาพความนิยม
3. สภาพทางเศรษฐกิจ

คุณค่า ของงานประยุกต์ศิลป์ มีดังนี้
1. คุณค่าทางประโยชน์ใช้สอย เช่น ขนาดสัดส่วนที่สัมพันธ์กับมนุษย์ ความเหมาะสมกับหน้าที่ใช้สอย ความมั่นคงแข็งแรงและปลอดภัย
2. คุณค่าทางความงาม เช่น การออกแบบอย่างสมบูรณ์ลงตัว

3. ทัศนศิลป์ (VISUAL ART)
ทัศนศิลป์ หมายถึง ศิลปะที่มีตัวตน กินเนื้อที่ในอากาศ สามารถจับต้องได้และสนองประสาท สัมผัสทางตา สามารถแบ่งออกได้เป็นแขนงต่าง ๆ คือ
3.1 จิตรกรรม (PAINTING) คือการเขียนภาพโดยใช้สี ส่วนมากผู้เขียนใช้
พู่กัน ซึ่งเป็นการถ่ายทอดรูปแบบที่เห็นจากธรรมชาติ หรือ สิ่งแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้นตามแนวความคิดสร้างสรรค์ ผู้ที่ทำงานจิตรกรรม เรียกว่า “จิตรกร(ARTIST)” ผลงานจิตรกรรมสามารถแยกตามลักษณะต่าง ๆ กัน คือ
3.1.1 เรียกชื่อตามวัสดุที่ใช้ เช่น จิตรกรรมสีน้ำ จิตรกรรมสีน้ำมัน จิตรกรรมสีอครีลิก ฯลฯ
3.1.2 เรียกชื่อตามเรื่องราว เช่น จิตรกรรมหุ่นนิ่ง จิตรกรรมภาพทิวทัศน์ จิตรกรรมภาพคน ฯลฯ
3.1.3 เรียกชื่อตามตำแหน่งติดตั้ง เช่น จิตรกรรมฝาผนัง จิตรกรรมโฆษณากล้างแจ้ง จิตรกรรมประดับผนังอาคาร, โรงแรม ฯลฯ

3.2 ประติมากรรม (SCULPTURE) มีลักษณะเป็นสามมิติ คือ มีความกว้าง 
ความยาว ความหนา หรือความสูง มีวิธีทำได้หลายวิธี เช่น
3.2.1 วิธีปั้น หมายถึง การเอาวัสดุส่วนย่อยเพิ่มเข้าเพื่อให้เป็นส่วนใหญ่ เช่น ดินเหนียว ดินน้ำมัน ขี้ผึ้ง ฯลฯ
3.2.2 วิธีแกะสลัก หมายถึง การเอาส่วนย่อยออกจากส่วนรวม วัสดุที่ใช้ เช่น หินอ่อน ไม้ ศิลาแลง ฯลฯ
3.2.3 วิธีทุบ ตี วัสดุที่ใช้เป็นพวกโลหะ นำมาทำเพื่อให้ได้รูปทรงตามต้องการ
3.2.4 วิธีหล่อ เป็นกระบวนการที่ต่อจากการทำประติมากรรมปั้นเพื่อให้ได้จำนวนมากตามความต้องการ

3.3 สถาปัตยกรรม (ARCHITECTURE) สถาปัตยกรรมเป็นงานที่รวม
จิตรกรรมและประติมากรรมมาประกอบด้วยมีขนาดใหญ่กว่าศิลปะแขนงอื่น ๆ เป็นทัศนศิลป์ที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบก่อสร้างเพื่อประโยชน์ของมนุษย์ เป็นการกำหนดขอบเขตบริเวณว่างเพื่อให้เกิดประโยชน์ ผู้ออกแบบสถาปัตยกรรม เรียกว่า สถาปนิก (ARCHITECT) 
ความเป็นมาของสถาปัตยกรรม สถาปัตยกรรมเป็นส่วนหนึ่งของอารยธรรมที่มี
ลักษณะเด่น ให้เห็นเด่นชัด สมัยแรกมนุษย์อยู่ตามถ้ำ ซึ่งมีขนาดเล็กใหญ่ต่างกัน ต่อมามนุษย์อพยพออกจากถ้ำแหล่งที่มีมนุษย์อาศัยอยู่ก็คือ บริเวณใกล้แม่น้ำลำธาร เพื่อสะดวกในการไปมาหาสู่กัน เป็นที่สร้างที่อยู่อาศัยใช้ในการเพาะปลูก สถาปัตยกรรมจึงเป็นการก่อสร้างอันสำคัญของมนุษย์ ซึ่งสร้างขึ้นมาเพื่อประโยชน์ของตนเองและสังคม
ประเภทของสถาปัตยกรรม แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ
1. สถาปัตยกรรมที่เป็นปูชนียสถาน เป็นประเภทที่มนุษย์เข้าไปอยู่อาศัยไม่ได้
2. สถาปัตยกรรมที่อยู่อาศัย เป็นประเภทที่มนุษย์เข้าไปอยู่ได้ เช่น อาคารบ้านเรือน
สถาปัตยกรรมแบ่งตามลักษณะวัสดุและเทคนิคการก่อสร้าง มี 4 ประเภท คือ
1. สถาปัตยกรรมเครื่องไม้
2. สถาปัตยกรรมเครื่องหิน
3. สถาปัตยกรรมคอนกรีตเสริมเหล็ก
4. สถาปัตยกรรมโครงเหล็ก

ทัศนธาตุ (VISUAL ELEMENTS) เป็นองค์ประกอบสำคัญของงานศิลป์ ได้แก่
1. เส้น (LINE) คือส่วนประกอบเบื้องต้นที่สำคัญ 
2. รูปร่างและรูปทรง
3. แสงและเงา
4. บริเวณว่าง
5. สี
6. ลักษณะพื้นผิว

4. หลักการจัดองค์ประกอบศิลป์
หลักการจัดองค์ประกอบศิลป์ หมายถึง หลักการจัดวางสิ่งต่าง ๆ เข้าด้วยกัน
และเกิดเป็นศิลปะจะเอาองค์ประกอบมาจัดทุกอย่างหรือบางอย่างก็ได้มาประกอบกัน สิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นมีอยู่หลายอย่างด้วยกัน ซึ่งมนุษย์ได้แบบอย่างมาจากธรรมชาติ บางครั้งก็ดัดแปลงขึ้นมาใหม่ แต่บางอย่างก็นำธรรมชาติมาใช้เลย สิ่งต่าง ๆ ที่กล่าวมา ได้แก่
1. จุด
2. เส้น
3. ทิศทาง
4. รูปร่างและรูปทรง
5. ขนาดและสัดส่วน
6. ลักษณะผิว
7. น้ำหนักสีอ่อนแก่
8. สี
องค์ประกอบที่ดีนั้น ควรจะประกอบไปด้วยส่วนสำคัญ 2 ส่วน คือ
1. ส่วนประธาน หมายถึง จุดสนใจของภาพเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด
2. ส่วนรองประธาน หมายถึง ส่วนสำคัญรองลงไปเป็นส่วนที่จะมาช่วยให้งาน
มีเนื้อหา มีความเด่น มีคุณค่าและสมบูรณ์มากขึ้น

5. การวิเคราะห์และวิจารณ์ศิลปะ
มีความสำคัญเพราะเป็นเครื่องแสวงหาความรู้ ตรวจสอบ แนวความคิด และ
วิธีการแสดงออกในผลงานศิลปะทั้งของตนเองและผู้อื่น การวิจารณ์ศิลปะเป็นเนื้อหา และกิจกรรมใหม่สำหรับสังคมไทย เริ่มมีขึ้นเมื่อตอนมีการจัดสัมนาศิลปะการวิจารณ์ขึ้นที่มหาวิทยาลัยศิลปากร พระราชวังสนามจันทร์ จังหวัดนครปฐม ในปี พ.ศ. 2523 ปัจจุบันยังไม่ก้าวหน้าไปมากเท่าที่ควร ฉะนั้นการพัฒนาเกี่ยวกับการวิจารณ์ ศิลปะจะต้องเริ่มต้นตั้งแต่ในชั้นเรียน ฝึกหัดให้แสดงความคิดเห็น วิเคราะห์ และตีความผลงานศิลปะอยู่เสมอ สร้างความเชื่อมั่นในวิจารณญาณของตน โดยตั้งอยู่บนเหตุผลที่ถูกต้อง
การวิเคราะห์ ตามพจนานุกรมนักเรียน ฉบับเฉลิมพระเกียรติ หมายถึง การ
ใคร่ครวญ แยกแยะออกเป็นส่วน ๆ 
การวิจารณ์ศิลปะ ตามพจนานุกรมศัพท์ศิลปะฉบับราชบัณฑิตยสถาน หมายถึง 
การวิพากษ์วิจารณ์ ผลงานทางศิลปะซึ่งศิลปินได้สร้างสรรค์ไว้ โดยให้ความเห็นตามกฎเกณฑ์และหลักการของศิลปะแต่ละสาขา ทั้งในด้านสุนทรีย์ศาสตร์และปรัชญาสาขาอื่น ๆ
คุณสมบัติของนักวิจารณ์ สรุปได้ดังนี้
1. ควรมีความรู้เกี่ยวกับศิลปะทั้งในส่วนที่เป็นประจำชาติ และสากล 
2. ควรมีความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ศิลป์ รูปแบบงานศิลปะ ทำให้มองงานที่จะวิจารณ์ได้หลายประเด็น
3. ควรมีความรู้เกี่ยวกับสุนทรียศาสตร์ ช่วยให้รู้แง่มุมของความงาม เปิดใจให้กว้างขึ้น จะได้ไม่เอากรอบใดกรอบหนึ่งมาวัดงานทุกชิ้น
4. ต้องมีวิสัยทัศน์กว้างขวาง และไม่คล้อยตามคนอื่น
5. กล้าที่จะแสดงออกทั้งที่เป็นไปตามหลักวิชาการและแสดงออกตามความรู้สึกและประสบการณ์

ทฤษฎีหรือเกณฑ์ในงานศิลปะ สิ่งสำคัญในการวิจารณ์ศิลปะ คือ “เกณฑ์” ที่
เป็นบรรทัดฐาน ของวิธีการศึกษาที่กำหนดขึ้นใช้ โดยก่อนจะทำการวิจารณ์งานศิลปะควรที่จะทราบลักษณะของงานเสียก่อน เพื่อจะได้ทำการวิจารณ์ได้อย่างถูกต้อง
ทฤษฎีการสร้างงานศิลปะ จัดเป็น 4 ลักษณะ ดังนี้
1. นิยมการเลียนแบบ เป็นการเห็นความงามในธรรมชาติแล้วเลียนแบบไว้ให้
เหมือนทั้งรูปร่าง รูปทรง สีสัน ฯลฯ
เกณฑ์ พิจารณาความเหมือนทั้งรูปร่างลักษณ์และความรู้สึก เช่น ภาพแตงโมผ่า
ซีก ต้องดูแล้วรู้สึกหวานฉ่ำ

2. นิยมสร้างรูปทรงที่สวยงาม เป็นการสร้างสรรค์รูปทรงใหม่ ให้สวยงามด้วย
ทัศนธาตุ (เส้น รูปร่าง รูปทรง สี น้ำหนัก ผิว บริเวณว่าง ) และเทคนิควิธีการต่าง ๆ 
เกณฑ์ ความสวยงามรูปร่าง รูปทรง สัดส่วน การจัดภาพ เทคนิคการ
สร้างสรรค์ บางครั้งไม่แสดงเนื้อหาเรื่องราว

3. นิยมแสดงอารมณ์ เป็นการสร้างงานให้ดูมีความรู้สึกต่าง ๆ ทั้งที่เป็นอารมณ์ 
อันที่เนื่องมาจากเนื้อหาเรื่องราว และอารมณ์ของศิลปินที่ถ่ายทอดลงไปในชิ้นงาน
เกณฑ์ ภาพกระตุ้นให้ผู้ดูผู้ชมเกิดความรู้สึกไปตามที่แสดงออก หรือกระตุ้น
ความรู้สึกที่เป็นประสบการณ์เดิมของผู้ดูแต่ละคน

4. นิยมแสดงจินตนาการ เป็นงานที่แสดงภาพจินตนาการ และแสดงความคิด
ฝันที่แตกต่างไปจากธรรมชาติ และสิ่งที่พบเห็นอยู่เป็นประจำ
เกณฑ์ การแสดงออกอย่างอิสรเสรีทั้งเนื้อหา เรื่องราว และเทคนิควิธีการ
สร้างสรรค์


วงจรของศิลปะวิจารณ์ การทำความเข้าใจศิลปะวิจารณ์จะต้องรับรู้องค์ประกอบ หรือวงจรที่เกี่ยวข้อง เพื่อทำให้เข้าใจความสัมพันธ์อันเป็นเหตุปัจจัยต่อกันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งประกอบด้วย 3 ส่วน ดังนี้
1. ศิลปิน เป็นผู้มีหน้าที่สร้างสรรค์งานศิลปะซึ่งต้องมีความจริงใจที่จะสร้าง
ผลงานขึ้นมาอย่างบริสุทธิ์ใจไม่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของบุคคลใดทั้งในด้านความคิดสร้างสรรค์ และในด้านของผลประโยชน์ทาววัตถุ นอกจากนั้นศิลปินจะต้องมีความสามารถพิเศษหรือเรียกว่า “พรสวรรค์” ในการถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดของตนเองด้วยภาษาของทัศนศิลป์ ประการสำคัญศิลปิน จะต้องเป็นผู้ที่มีโลกทัศน์กว้างขวาง มีความเข้าใจในชีวิตมนุษย์และปรัชญาการดำเนินชีวิต
2. ผลงานศิลปะ คือ รูปของผลงานศิลปะที่ศิลปินใช้เป็นภาษาหรือสื่อกลางที่
จะถ่ายทอดความนึกคิดและอารมณ์ความรู้สึกของตนออกมา ภาษาทางทัศนศิลป์เป็นการใช้ภาษาของการมองเห็นด้วยตา
3. คนดู คือ ส่วนของประชาชนที่เป็นผู้รับรู้ภาษาที่ศิลปินใช้สื่อความหมาย 
คนดูเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะทำให้ความหมายของการสร้างศิลปะสมบูรณ์ครบวงจร ผลงานศิลปะใดถ้าขาดคนดูย่อมจะสูญเสียความประสงค์สำคัญทั้งหมด คนดูจะรวมไปถึงนักวิจารณ์ศิลปะด้วย ปละคนดูโดยทั่วไปอาจกล่าวโดยอนุมานได้ว่า เขาทุกคนคือนักวิจารณ์ศิลปะเพราะจะต้องตัดสิน หรือวิพากษ์วิจารณ์ถึงความชอบและไม่ชอบของตนเอง
การวิจารณ์ศิลปะ มีจุดมุ่งหมาย 3 ประการ คือ 
1. เพื่อให้ผู้รู้ ครู อาจารย์ และนักวิจารณ์ศิลปะ ได้ถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจ
และประสบการณ์ของตนเกี่ยวกับศิลปะให้กับผู้ที่สนใจรวมทั้งนักศึกษา อย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ ที่ผ่านมายังไม่มี
1. เพื่อให้ผู้รู้ ครู อาจารย์ และนักวิจารณ์ศิลปะ ได้ถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจ
และประสบการณ์ของตนเกี่ยวกับศิลปะให้กับผู้ที่สนใจรวมทั้งนักศึกษา อย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ ที่ผ่านมายังไม่มีการเรียนการสอนวิชาศิลปวิจารณ์อย่างเป็นระบบ
2. เพื่อให้ผู้ที่สนใจรวมทั้งนักเรียน นักศึกษาได้รับความรู้ หรือเพิ่มพูนความรู้ 
ความเข้าใจ และประสบการณ์เกี่ยวกับศิลปะให้กับตนเองอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ จนสามารถเข้าใจและชื่นชมศิลปะได้
3. เพื่อให้นักวิจารณ์ศิลปะได้ช่วยเผยแพร่ หรือบอกเล่าความเคลื่อนไหวใน
วงการศิลปะนักวิจารณ์ศิลปะยังทำหน้าที่เป็นตัวกลาง เพื่อสร้างความเข้าใจระหว่างศิลปินกับผู้ชม

ขั้นตอนการวิจารณ์
1. ข้อมูลภาพ เป็นข้อมูลที่เกี่ยวกับผลงานที่จะวิจารณ์ ได้แก่ เป็นงานทัศนศิลป์แขนงใด ชื่อภาพ ชื่อศิลปิน วัสดุ เทคนิค วิธีการ ขนาด เป็นต้น
2. ขั้นพรรณนา เป็นข้อมูลที่ได้จากการมองเห็น การสังเกต การตั้งคำถาม ว่าท่านเห็นอะไรบ้างในงานชิ้นนั้น
3. ขั้นแปลความ เป็นขั้นการค้นหาความหมายของภาพ โดยเริ่มจากความสัมพันธ์ระหว่างภาพที่เห็นกับชื่อภาพเป็นอย่างไร
4. ขั้นวิเคราะห์ภาพรวม โดยพิจารณาว่า เป็นงานศิลปะแบบใด จัดอยู่ในทฤษฎีอะไร
5. ขั้นตัดสินประเมินค่า พิจารณาจากข้อ 1, 2, 3 และ 4 แล้วตัดสินเลยว่า ผลงานเป็นอย่างไรงามหรือไม่งาม ดีหรือไม่ดี ถ้าดีก็ชม ถ้าไม่ดีอาจติหรือเสนอแนะเพื่อการพัฒนาต่อไป

2. ความเข้าใจศิลปะ
1. ศิลปะและความเข้าใจ
ศิลปะตามความเข้าใจของคนทั่วไป พอสรุปได้คือ ศิลปะเป็นสิ่งทีมีความ
สวยงาม สามารถอำนวยความสุข และเกิดความบันเทิงใจเมื่อได้พบเห็น สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิความเป็นอยู่ได้ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การแต่งกาย การตกแต่งห้อง

ศิลปะตามความเข้าใจของศิลปิน สรุปคือ ศิลปะเป็นสื่อคามหมายร่วมกันของมนุษย์ที่ผู้สร้างสรรค์ผลงานให้เป็นเครื่องเร้าให้ผู้พบเห็นเกิดความประทับใจเมื่อได้พบเห็น สัมผัส ทำให้เกิดความคิดเช่นเดียวกับความหมายที่ต้องการ สามารรถยกระดับอารมณ์ และจิตใจด้วนคุณธรรม
จะเห็นว่าศิลปะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต มีความผูกพันกับชีวิตประจำวัน การที่มนุษย์เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ จากสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัวแล้วมีปฏิกิริยาตอบสนองจากการรับรู้นั้น เช่น ตอบสนองต่อรูปร่าง รูปทรง ระนาบผิว ความหนักแน่น ทึบตัน บริเวณว่า การเคลื่อนไหวแสง สี เสียง หรือลักษณะที่ปรากฏให้เห็นของสิ่งต่าง ๆ เกิดความประทับใจ แล้วถ่ายทอดออกไป เราเรียกกระบวนการนี้ว่า “การรับรู้นำไปสู่การถ่ายทอด ดังจะกล่าวได้ต่อไป”

1.1 การรับรู้นำไปสู่การถ่ายทอด มนุษย์รับรู้สิ่งต่างๆ จากโลกภายนอก จาก
สิ่งแวดล้อมผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 เข้าสู่เส้นประสาทแล้วนำเข้าสู่ระบบสมอง เกิดเป็นการแปลความตัดสินประเมินค่า ถ้าสั่งนั้นดีเก็บไว้เป็นความทรงจำ ถ้าผู้นั้นเป็นศิลปินจะไม่เก็บความดีงาม ความประทับใจไว้แต่เพียงผู้เดียว แต่จะถ่ายทอดเป็นงานศิลปะตามที่ตนถนัดเพื่อเผื่อแผ่ความดีงาม
การรับรู้และการถ่ายทอดจากการมองเห็น ศิลปินรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ จากสังคม สิ่งแวดล้อม แล้วต้องการจะถ่ายทอดหรือแสดงออกเป็นงานศิลปะตามที่ตนถนัดหรือมีประสบการณ์ จึงทำให้เกิดรูปแบบการถ่ายทอดต่างกันมากมาย

1. ถ่ายทอดตรงตามที่เห็นจริง ศิลปินเห็นอย่างไรก็ถ่ายทอดออกมาอย่างนั้น 
เป็นงานศิลปะที่เหมือนของจริง ผู้ดีเห็นแล้วรู้ได้ทันทีว่าเป็นภาพอะไร เรื่องอะไร จัดเป็นศิลปินนิยม การเลียนแบบ
2. ถ่ายทอดโดยปรุงแต่งสิ่งที่เห็น ศิลปินบางคนต้องการแสดงเรื่องราวจาก
ความคิดฝัน จินตนาการจึงต้องมีการประดิษฐ์รูปทรงให้เหมาะสมกับเนื้อหาเรื่องราวที่ต้องการแสดงออกโดยนำสิ่งที่เห็นมาปรับแต่งเพิ่มเติม
3. ถ่ายทอดความรู้สึก ศิลปินกลุ่มนี้ไม่สนใจรูปทรงภายนอกของวัตถุแต่สนใจ
เกี่ยวกับความรู้สึก เช่น ความรัก ความงาม ความสดชื่น ความน่ากลัว ความรู้สึกเหล่านี้ยังไม่มีรูปร่างที่แน่นอนตายตัว จึงทำให้ศิลปินสร้างงานได้อย่างอิสระมากกว่าการถ่ายทอดตามแบบที่ 1 และ 2

ศิลปะแต่ละคนมีการถ่ายทอดแตกต่างกัน ตามความคิดสร้างสรรค์และความ
ถนัดเมื่อมีการจัดกลุ่มเพื่อการศึกษา จึงเรียกใหม่ว่ารูปแบบศิลปะ หรือสไตล์ ซึ่งแบ่งเป็น 3 ลักษณะ ดังนี้
1. แบบเหมือนของจริง
2. แบบดัดแปลงจากธรรมชาติ
3. รูปแบบอิสระ
1. แบบเหมือนของจริง เป็นผลมาจากการถ่ายทอดของศิลปินในลักษณะ
เลียนแบบธรรมชาติ พวกนิยมการเลียนแบบ ทั้งนี้เป็นเพราะเห็นว่ารูปลักษณ์ของธรรมชาติมีความงามความไพเราะอยู่แล้ว
2. แบบดัดแปลงจากธรรมชาติ เป็นผลมาจากการถ่ายทอดของศิลปินโดยการ
ปรับปรุงแต่งสิ่งที่เห็นให้เหมาะสม สวยงามขึ้น
นอกจากนี้รูปร่าง รูปทรงในธรรมชาติบางครั้งน่าเกลียด น่ากลัว ศิลปินนัก
ออกแบ ปรับแต่งให้ได้รูปร่างรูปทรงที่สวยงาม น่ารักขึ้น รูปแบบดัดแปลงนี้เป็นที่นิยมมากเพราะศิลปินได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ ร่วมกับรูปร่างรูปทรงตามธรรมชาติ ปละผู้ดูให้ความคิดและการสังเกต ก็สามารถรับรู้เนื้อหาเรื่องราวหรือสิ่งที่ศิลปินต้องการแสดงออกได้ ศิลปินและนักออกแบบจะปรุงแต่งดัดแปลงรูปร่าง รูปทรง โดยวิธีการต่อไปนี้
1. การเพิ่มเข้า เช่น ภาพทศกัณฑ์
2. การบิดพลิ้วรูปทรง ในงานนาฏศิลป์ใช้มาก
3. การลดตัดทอน เป็นการจัดส่วนที่ไม่สำคัญออกให้เหลือรูปร่งรูปทรงที่สำคัญ

3. แบบอิสระ เป็นผลมาจากการถ่ายทอดความรู้สึกของศิลปิน ทั้งนี้เพราะ
ศิลปินเห็นว่าความงามเป็นเรื่องของมนุษย์ ที่มีขอบเขตกว้างขวางมาก ไม่ติดอยู่กับความเหมือนหรือดัดแปลงรูปทรงธรรมชาติเท่านั้น ประกอบกับประชาชนมีความชื่นชอบ หรือรสนิยมทางความงามต่างกัน ศิลปินบางกลุ่มจึงควรที่จะสร้งสรรค์สิ่งแปลกใหม่ นำเสนอสู่สังคมให้ประชาชนมีโอกาสเลือกชมได้ ศิลปินจึงเลือกแสดงเนื้อหาเกี่ยวกับความรู้สึก ซึ่งยังไม่มีรูปแบบแน่นอนตายตัว ศิลปินจึงใช้ความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างเต็มที่

1.2 ผลงานศิลปะกับการถ่ายทอดของศิลปิน ศิลปินถ่ายทอดคามเป็นตัวเองลง
ในผลงาน 
ลักษณะเฉพาะตัวของศิลปินแต่ละคน ลักษณะเฉพาะหรือความเป็นตัวของ
ตัวเองของศิลปะแต่ละคนทำให้มีรูปแบบความงามในงานศิลปกรรมต่างกัน แม้ว่าจะได้รับการศึกษาพื้นฐานมาในระดับเดียวกันจากครูคนเดียวกัน แต่ความคิดและความรู้สึกทางความงามจะแตกต่างกัน 
 การแสดงออกทางความงามเป็นงานหลักของศิลปิน ทั้งที่แสดงออกโดยเลียนแบบชาติ และประดิษฐ์ขึ้นใหม่ นอกจากนี้ยังต้องกล้าที่จะแสดงออกเพื่อความแปลกใหม่ และความก้าวหน้าทางวิชาการด้วย

1.3 วัสดุและเทคนิค ในการสร้างงานศิลปะ นอกจากสีฝุ่น สีน้ำ สีโปสเตอร์ 
แล้วยังมีสีอื่น ๆ ที่ใช้ในการเขียนรูปอีก เช่น สีอะครีลิค สีจากโมเสก ดินสอสีระบายน้ำ มีรายละเอียดดังนี้


1.3.1 สีอะครีลิค เป็นสีใหม่ล่าสุดที่ได้รับความนิยมในวงการจิตรกรรมมาก
เพราะสามารถเขียนแบบสีน้ำมัน และแบบสีน้ำได้ สีนี้เป็นเป็นผลพลอยได้มาจากการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม จึงมีราคาแพงพอสมควร แต่มีคุณภาพดีมีสีสวยสดใส 
1.3.2 สีจากโมเสก เป็นสีหินขนาดเล็กใช้เรียงติดกันเป็นภาพ เรียกว่า ภาพ
ประดับโมเสก
1.3.3 ดินสอสีระบายน้ำ เป็นวัสดุใหม่ระบายแบบดินสอสีและสามารถใช้น้ำ
ลูบตามลงไป ทำให้สีเรียบแบบสีน้ำ ช่วยให้นักเรียนระบายสีได้ง่ายขึ้นและได้ผลงานที่มีความงามแปลกออกไป

การระบายสีแสดงพื้นผิว
การแสดงพื้นผิวที่แตกต่างกันในงานจิตรกรรมเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ทำให้เกิดความงาม พื้นผิวที่แตกต่างกันในงานจิตรกรรมเป็นเทคนิคที่เกิดจากการระบายสีทำให้ดูแล้วรู้สึกสนุกสนานไปตามลักษณะของอุปกรณ์ที่ใช้ระบายภาพที่สำเร็จจะดูไม่ราบเรียบเหมือนการระบายสีในข้อที่กล่าวมา แต่จะดูมีน้ำหนักอ่อนแก่มีชีวิตชีวา มีความสวยงามไปอีกแบบหนึ่ง การระบายสีแสดงให้เกิดความงามของพื้นผิวในงานศิลปกรรมมากขึ้น

2. การสร้างงานศิลปะด้วยสื่อและเทคโนโลยี
2.1 การสร้างงานศิลปะด้วยสื่อและเทคโนโลยีการสร้างงานศิลปะ จัดเป็นการ
สร้างสรรค์งานศิลปกรรมด้วยวิธีการใหม่ วงการศิลปะในอดีตการกำหนดประเภทและแขนงต่าง ๆ ของศิลปะตามวัสดุและเทคนิคที่ใช้ในการสร้างสรรค์ ปัจจุบันวงการศิลปะก้าวหน้ามากขึ้นประกอบกับสังคมชื่นชมในความคิดสร้างสรรค์ของศิลปิน และเห็นคุณค่าของเสรีภาพส่วนบุคคล ทำให้เกิดการแสวงหารูปแบบความงามใหม่ วิธีการสร้างสรรค์ใหม่ๆ
2.1.1 การสร้างงานศิลปะด้วยการปะติด
เป็นการนำวัสดุจริง เช่น กระดาษ ผ้า มาจัดวางร่วมกับภาพที่เขียน ทำให้เกิดการผสมผสานอย่างเหมาะสมระหว่างพื้นผิวจากการเขียนภาพกับพื้นผิวจากของจริง 


2.1.2 การสร้างงานศิลปะแบบสื่อผสม 
เป็นการนำเอาสื่อต่าง ๆ ทางทัศนศิลป์มาผสมผสานกันให้เหมาะสมสวยงามนับเป็นการสร้างรูปแบบความงามอยางอิสระ
2.1.3 การสร้างงานโดยการทดลอง 
การทดลองเรื่องสี เป็นกิจกรรมทางศิลปะที่ช่วยพัฒนาความคิด การศึกษา
ค้นคว้า และการแสวงหาคำตอบด้วยตนเอง โดยเฉพาะเรื่องของสีนับเป็นเรื่องของความรู้สึกทางความงามที่ไม่มีที่สิ้นสุด
2.1.4 การสร้างงานศิลปะด้วยคอมพิวเตอร์
การสร้างงานศิลปกรรมด้วยคอมพิวเตอร์ เรียกโดยทั่วไปว่าคอมพิวเตอร์อาร์ต 
หรือกราฟิกอาร์ต เป็นอีกวิธีหนึ่งที่กำลังได้รับความนิยมในปัจจุบัน ซึ่งสามารถสร้างสรรค์ได้ทั้งสื่อภาพ เสียง ภาพนิ่ง และภาพเคลื่อนไหว เป็นลักษณะสื่อผสมในอีกรูปแบบหนึ่ง
2.2 ศิลปะกับการออกแบบ
ความหมายของการออกแบบ
การออกแบบเป็นการวางแผน เพื่อจะได้ลงมือกระทำสิ่งต่าง ๆ ตามต้องการ 
และการรู้จักเลือกใช้วัสดุเทคนิค วิธีการ โดยสร้างขึ้นให้สอดคล้องกับลักษณะ รูปแบบและคุณสมบัติของวัสดุแต่ละชนิดตามความคิดสร้างสรรค์
สิ่งพิมพ์ประเภทต่าง ๆ 
1. จุลสาร เป็นสิ่งพิมพ์ขนาดเล็ก มีเนื้อหาเฉพาะกิจที่น่าสนใจใน
ขณะนั้น หรือที่มีผลต่อการประกอบอาชีพ ไม่มีวาระการออกที่แน่นอน เช่น จุลสารการเลี้ยงปลานิล การปลูกเห็ดนางฟ้า 
2. วารสาร เป็นรูปเล่ม เป็นหนังสือ ออกเป็นวาระ เช่น วารสารราย
เดือน รายปักษ์
3. นิตยสาร เป็นสิ่งพิมพ์เย็บเล่ม จึงมีการออกแบบปกให้สะดุดตา 
สวยงาม อ่านได้ทุกเพศ
4. หนังสือพิมพ์ เป็นสิ่งพิมพ์ไม่เย็บเล่ม อายุการใช้งานสั้น มีเนื้อหา
สาระครบทุกด้าน เอาใจผู้อ่านในส่วนที่เป็นข่าวสารจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา 

5. แผ่นปลิว หรือใบปลิว เป็นสิ่งที่พิมพ์แผ่นเดียว อาจจะพิมพ์หน้า
เดียวหรือสองหน้าก็ได้ มีทั้งการนำเสนอข้อมูลสินค้า บริการ และการเชิญชวนเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ 
6. แค็ตตาล็อก เป็นชื่อเรียกทับศัพท์ภาษาอังกฤษ สิ่งพิมพ์เย็บเล่ม หรือ
เป็นแฟ้ม บอกชนิดสินค้า รุ่น และราคา มีรายละเอียดสินค้าค่อนข้างครบถ้วนสมบูรณ์ พิมพ์ด้วยวัสดุอย่างดี
7. การโฆษณาผ่านอินเทอร์เน็ต เป็นการโฆษณาในวงกว้าง เผยแพร่ไป
ทั่วโลกทุกคนเปิดดูได้เลย นอกจากนี้ยังมี อี คอมเมิส ซึ่งมีทั้งภาพและเสียง สามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อมูลได้ตลอดเวลา สามารถซื้อขายได้โดยตรงไม่ผ่านคนกลาง

งานออกแบบต่างกับงานวิจิตรศิลป์อย่างไร
การออกแบบ จัดเป็นงานประยุกต์ศิลป์ เพราะสร้างขึ้นเพื่อประโยชน์ใช้สอย 
และความงามไปในขณะเดียวกัน การออกแบบนิเทศศิลป์ พาณิชยศิลป์ เป็นการสร้างสรรค์งาน โดยเน้นทั้งความงาม ความน่าสนใจ และการสื่อความหมาย ตามที่ผู้ว่าจ้างหรือลูกค้าต้องการ

งานวิจิตรศิลป์ หรือศิลปะบริสุทธิ์ ศิลปินจะทำงานด้วยตนเอง ทำเพียงคนเดียว 
ถ่ายทอดอารมณ์ ความรู้สึก ความประทับใจ ที่มีต่อธรรมชาติ สังคม สิ่งแวดล้อม ให้ปรากฏออกมาเป็นผลงานศิลปะตามความพึงพอใจของตนเอง

อาชีพด้านการออกแบบ
งานออกแบบประยุกต์ศิลป์หรือออกแบบโฆษณา กำลังเป็นอาชีพที่ตลาดต้องการมาก ได้รับเงินเดือน หรือค่าตอบแทนสูง ปัจจุบันสามารถทำหน้าที่ได้มากขึ้น ทำได้หลายตำแหน่ง เช่น ผู้วาดภาพ ผู้คิดคำโฆษณา ผู้จัดทำต้นฉบับฯลฯ 


หน้าที่ของนักออกแบบ
นักออกแบบมีหน้าที่สร้างงานสนองความต้องการของลูกค้า และชี้นำสังคมไปในทางที่ดี การออกแบบรูปลักษณ์หน้าตาของสินค้าต้องให้สะดุดตา น่าสนใจ น่าซื้อ จึงต้องการผู้ที่มีความรู้ ความสามารถและความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบต่าง ๆ อย่างมีคุณภาพ

งานออกแบบสิ่งพิมพ์ 
 งานออกแบบสิ่งพิมพ์ เป็นกระบวนการสร้างสรรค์ที่เกี่ยวข้องกับทัศนศิลป์ สื่อสาร นักออกแบบ สิ่งพิมพ์เป็นผู้สร้างสรรค์ ซึ่งจะต้องรู้จักการเตรียมการ การวางแผนเพื่อนำเสนอข้อมูลข่าวสารต่อผู้ดู ผู้อ่านให้ง่ายแก่การรับรู้ด้วยประสาทตา ส่วนประกอบที่ใช้ในการสร้งสรรค์สิ่งพิมพ์คือ ตัวอักษร ข้อความ เครื่องหมาย สัญลักษณ์ รูปภาพ ฯลฯ

การจัดหน้า
การจัดหน้า หมายถึง การจัดตัวอักษร เนื้อหา และภาพประกอบทั้งหมดให้มีระเบียบ ได้สัดส่วน สวยงาม เปรียบเสมือนการจัดตกแต่งหน้าร้านให้ดูสวยงาม เพื่อดึงดูดผู้ผ่านไปมา
วัตถุประสงค์ของการจัดหน้า สรุปได้ ดังนี้
1. เพื่อจัดวางหรือกำหนดเนื้อหาสาระ และภาพประกอบให้มีระเบียบ สวยงาม สบายตา สะดวกแก่การอ่าน และผู้ดีสามารถรับรู้ได้ง่าย
2. จัดลำดับเนื้อหา ความสำคัญ ความยากง่ายตามธรรมชาติการรับรู้ของผู้อ่าน
3. การจัดหน้าเป็นการสร้างเอกลักษณ์หรือลักษณะเฉพาะตัวของสิ่งพิมพ์แต่ละฉบับ

การออกแบบภาพประกอบสิ่งพิมพ์
ภาพประกอบสิ่งพิมพ์มี 3 ลักษณะ ได้แก่ ภาพประกอบที่มาจากภาพเขียน 
ภาพถ่าย และภาพสำเร็จที่อยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ ภาพประกอบจากภาพถ่ายและจากภาพเขียนแตกต่างกันตรงที่ภาพประกอบจากภาพเขียนสามารถสนองตอบความคิด จินตนาการ ได้มากกว่าภาพถ่าย

ความสำคัญของภาพประกอบ
1. สร้างความเข้าใจในเรื่องราว ในถ้อยคำ บรรยายได้รวดเร็วขึ้น
2. กระตุ้นให้เด็กเกิดความสนใจอยากอ่าน
3. เร้าความสนใจมากกว่าตัวอักษร

การออกแบบตัวอักษรด้วยคอมพิวเตอร์
ตัวอักษรหรือเครื่องหมายใช้แสดงความรู้ ความคิด ความรู้สึกแพร่ขยายไปยัง
ผู้อื่นให้เข้าใจตรงกัน และยังช่วยรักษาความรู้ ความคิดให้อยู่ได้นานตกทอดถึงคนรุ่นหลังได้ ปัจจุบันมีแบบของตัวอักษร และขนาดให้เลือกใช้มากมาย ทั้งในเครื่องคอมฯ พีซี และเครื่องแมคอินทอช ซึ่งสามารถช่วยในการออกแบบตัวอักษรได้ 

การออกแบบตัวอักษรเพื่อใช้ในงานพิมพ์
1. ใช้ตัวอักษรเพื่อบรรยายหรืออธิบายเนื้อหา จะมีขนาดแตกต่างกันตามกลุ่ม
ผู้อ่าน เช่น ระดับอนุบาลศึกษา ควรใช้พื้นขนาด 24 พ้อยท์ เป็นต้น
2. ใช้ตัวอักษรเพื่อดึงดูดสายตา มีการออกแบบตกแต่ง หรือเน้นข้อความ
ข่าวสารให้เด่นชัดขึ้น สามารถดึงดูดความในใจของผู้ดู ผู้อ่าน โดยการใช้ขนาดและรูปแบบให้มีความโดเด่นเป็นพิเศษ

3. ยุคสมัยและรูปแบบของงานทัศนศิลป์
1. ยุคสมัยต่าง ๆ ของงานทัศนศิลป์
1.1 ยุคก่อนประวัติศาสตร์
มนุษย์ผู้เริ่มสร้างศิลปะในยุโรปได้แก่ มนุษย์โคร-มันยอง ซึ่งมีอายุระหว่าง 
50,000 – 5,000 ปีมาแล้ว งานทัศนศิลป์ที่มีชื่อเสียงอยู่ในยุโรปและในประเทศไทย มีรายละเอียดดังนี้
งานจิตรกรรม ที่มีชื่อเสียงมากคือ จิตรกรรมบนฝาผนังที่ค้นพบตามผนังถ้ำและ
หน้าผา เช่น ที่ผนังถ้ำ อัลตามิรา ในประเทศสเปน ส่วนในประเทศไทยก็มีหลายแห่ง เช่น ผาแต้ม จ.อุบลราชธานี

วิชาดนตรี

ความรู้ทางดนตรี
ดนตรี

คือ เสียงที่จัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ และมีแบบแผนโครงสร้าง เป็นรูปแบบของกิจกรรมเชิงศิลปะของมนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับเสียง โดยดนตรีนั้นแสดงออกมาในด้านระดับเสียง (ซึ่งรวมถึงท่วงทำนองและเสียงประสาน) จังหวะ และคุณภาพเสียง (ความต่อเนื่องของเสียง พื้นผิวของเสียง ความดังค่อย) ดนตรีนั้นสามารถใช้ในด้านศิลปะหรือสุนทรียศาสตร์ การสื่อสาร ความบันเทิง รวมถึงใช้ในงานพิธีการต่างๆ

องค์ประกอบของดนตรี
ประกอบด้วย

1. เสียง (Tone)


เสียงเกิดจากการสั่นสะเทือนของอากาศที่เป็นไปอย่างสม่ำ เสมอ ส่วนเสียงอึกทึกหรือเสียงรบกวน (Noise) เกิดจากการสั่นสะเทือนของอากาศที่ไม่สม่ำเสมอ ลักษณะความแตกต่างของเสียงขึ้นอยู่กบคุณสมบัติสำคัญ 4ประการ คือ ระดับเสียง ความยาวของเสียง ความเข้มของเสียง และคุณภาพของเสียง

1.1 ระดับเสียง (Pitch) หมายถึง ระดับความสูง-ต่ำของเสียง ซึ่งเกิดการจำนวนความถี่ของการสั่นสะเทือน กล่าวคือ ถ้าเสียงที่มีความถี่สูง ลักษณะการสั่นสะเทือนเร็ว จะส่งผลให้มีระดับเสียงสูง แต่ถ้าหากเสียงมีความถี่ต่ำ ลักษณะการสั่นสะเทือนช้าจะส่งผลให้มีระดับเสียงต่ำ

1.2 ความสั้น-ยาวของเสียง (Duration) หมายถึง คุณสมบัติที่เกี่ยวกับความยาว-สั้นของเสียง ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่สำคัญอย่างยิ่งของการกำหนดลีลา จังหวะ ในดนตรีตะวันตก การกำหนดความสั้น-ยาวของเสียง สามารถแสดงให้เห็นได้จากลักษณะของตัวโน้ต เช่น โน้ตตัวกลม ตัวขาว และตัวดำ เป็นต้น สำหรับในดนตรีไทยนั้น แต่เดิมมิได้ใช้ระบบการบันทักโน้ตเป็นหลัก แต่ย่างไรก็ตาม การสร้างความยาว-สั้นของเสียงอาจสังเกตได้จากลีลาการกรอระนาดเอก ฆ้องวง ในกรณีของซออาจแสดงออกมาในลักษณะของการลากคันชักยาวๆ

1.3 ความเข้มของเสียง (Intensity) ความเข้มของสียงเกี่ยวข้องกับน้ำหนักของความหนักเบาของเสียง ความเข้มของเสียงจะเป็นคุณสมบัติที่ก่อประโยชน์ในการเกื้อหนุนเสียงให้มี ลีลาจังหวะที่สมบูรณ์

1.4 คุณภาพของเสียง (Tone Quality) เกิดจากคุณภาพของแหล่งกำเนิดเสียงที่แตกต่างกัน ปัจจัยที่ทำให้คุณภาพของเสียงเกิดความแตกต่างกันนั้น เกิดจากหลายสาเหตุ เช่น วิธีการผลิตเสียง รูปทรงของแหล่งกำเนิดเสียง และวัสดุที่ใช้ทำแหล่งกำเนิดเสียง ปัจจัยเหล่านี้ก่อให้เกิดลักษณะคุณภาพของเสียง ซึ่งเป็นหลักสำคัญให้ผู้ฟังสามารถแยกแยะสีสันของสียง (Tone Color) ระหว่างเครื่องดนตรีเครื่องหนึ่งกับเครื่องหนึ่งได้อย่างชัดเจน

1.5 “สีสันของเสียง” (Tone color ) หมายถึง คุณลักษณะของเสียงที่กำเนิดจากแหล่งเสียงที่แตกต่างกัน แหล่งกำเนิดเสียงดังกล่าว เป็นได้ทั้งที่เป็นเสียงร้องของมนุษย์และเครื่องดนตรีชนิดต่างๆ ความแตกต่างของเสียงร้องมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นระหว่างเพศชายกับเพศหญิง หรือระหว่างเพศเดียวกัน ซึ่งล้วนแล้วแต่มีพื้นฐานของการแตกต่างทางด้านสรีระ เช่น หลอดเสียงและกล่องเสียง เป็นต้น

วิชาลูกเสือ

กำเนิดการลูกเสือ

        เมื่อ บี .พี. ลาออกจากราชการทหารครั้งสุดท้ายในปี  พ.ศ. 2453  ( ค.ศ. 1910 ) แล้ว บี.พี. ได้เอาประสบการณ์จากเมืองมาฟอีคิง  ที่ได้จัดให้เด็กมาช่วยเหลือในการรักษาเมือง เช่น ทำหน้าที่เป็นผู้สื่อข่าวสอดแนมของกองทัพ รักษาสงบภายใน  อยู่ยามบนหอคอย คอยให้สัญญาณแก่ประชาชน  เด็ก ๆ สามารถทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายได้อย่างเข้มแข็ง  ว่องไว  ได้ผลดีไม่แพ้ผู้ใหญ่  และบางอย่างทำได้ดีกว่าผู้ใหญ่ บี.พี. จึงคิดตั้งกระบวนการลูกเสือขึ้น

       ท่านจึงเอาประสบการณ์ในอินเดีย แอฟริกาสมัยเมื่อท่านยังอยู่กับพวกซูลู  และชาวพื้นเมืองเผ่าอื่นๆ นำมาคิดแปลงพัฒนาให้เหมาะสมกับการลูกเสือเด็กอย่างรอบคอบ ในวันที่  25 กรกฎาคม  พ.ศ. 2450 ( ค.ศ. 1970 ) ท่านลอร์ด เบเดน  เพาเวลล์ได้รวมเด็ก 20 คน กับหลายของท่าน 1 คน รวมเป็น 21 คน โดยมีเพื่อนพันตรีแมคคาเรน เป็นผู้ช่วยในการอบรม ได้ทำการเปิดค่ายทดลองขึ้นเป็นครั้งแรกที่เกาะ บราวน์ซี  ( Brownsea  Island ) ซึ่งเป็นเกาะเล็ก ๆ  อยู่ทางตอนใต้ของเกาะอังกฤษ เป็นเวลา 9 คืน ได้ทำการฝึกสอนอบรมวิชาการต่างๆ ด้วยตนเอง  มีการเล่นเกมต่างๆ ร้องเพลงร่วมกัน รอบ ๆ กองไฟ เด็กได้รับความรู้ความสนุกสนานเป็นอย่างมาก  ในเวลากลางคืนทุกคืนได้จัดลูกเสือหมู่หนึ่งผลัดเปลี่ยนกันทำหน้าที่เป็น “ หน่วยรักษาการณ์ตลอดคืน ”  ปรากฏว่าเป็นผลดีน่าพึงพอใจ นับเป็นการอยู่ค่ายพักแรมของลูกเสือเป็นครั้งแรกของโลก  การอยู่ค่ายพักแรมที่เกาะบราวน์ซี  ครั้งนี้จัดขึ้นเมื่อวันที่ 1 ถึงวันที่ 9 เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2450 (ค.ศ. 1907 ) ( มีหลักฐานซึ่งสลักไว้บนก้อนศิลา ณ เกาะบราวน์ซี ดังนี้

This Stone Commemorate the experimental Camp of   20 boys held on this site from

l st  - 9 th  Augrst  1970 by  Robert  Baden – Powell  of  Gilwell  Founder  of  the  Scout  and  Guide  Movements )

       เด็กที่ท่านบี . พี. ครั้งนี้เป็นเด็กเร่ร่อนตามถนนตามท้องถิ่นต่างๆ ท่านได้พาเด็กไปฝึกอบรมตามโครงการลูกเสือที่ท่านร่างขึ้นไว้ โดยแบ่งลูกเสือออกเป็นหมู่ ๆ ละ 5 คน รวม 4 หมู่ แต่ละหมู่มีหัวหน้าปกครองรับผิดชอบบังคับบัญชาลูกหมู่โดยเด็ดขาด ในการทดลองครั้งนี้เป็นเด็กเร่ร่อนตามถนนตามท้องถิ่นต่างๆ ท่านได้พาเด็กไปฝึกอบรมตามโครงการลูกเสือที่ท่านร่างขึ้นไว้ โดยแบ่งลูกเสือออกเป็นหมู่ๆ ละ4 คน แต่ละหมู่มีหัวหน้าปกครองรับผิดชอบบังคับบัญชาลูกหมู่โดยเด็ดขาด ในการทดลองครั้งนี้ท่านได้รับความสำเร็จตามความมุ่งหมายทุกประการ ทำให้ท่านเกิดกำลังใจ และพยายามแก้ไขอุปสรรคต่างๆ ให้เกิดผลดียิ่งขึ้น เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติต่อไป

      เมื่อท่านกลับจากการอยู่ค่ายพักแรมที่เกาะ  (Brownsea  Island)  แล้วท่านจึงลงมือเขียนหนังสือ  เรื่อง  Scouting  for  boys  (การลูกเสือสำหรับเด็กชาย)  ขึ้นเมื่อปี พ.ศ.  2541  (ค.ศ.1908) และในปีนี้เองที่ท่าน บี.พี จึงได้เริ่มก่อตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศอังกฤษ กิจการลูกเสือได้แพร่หลายไปทั่วประเทศอังกฤษอย่างรวดเร็ว และต่อมาในพ.ศ. 2452  ( ค.ศ. 1909 ) พระเจ้าแผ่นดินอังกฤษ  King  Edward  ที่ได้ทรงรับเป็นองค์อุปถัมภก และตัวท่าน บี. พี. ได้รับบรรดาศักดิ์เป็น Sir ท่านได้ลาออกจากราชการทหารอีกครั้งหนึ่ง เมื่อ พ.ศ. 2453 เพื่อมาจัดด้านกิจการลูกเสือแต่อย่างเดียวตามพระราชปรารภของ King Edward  ที่  7  และตามคำของร้องของ Lord  Kicgener 

      เมื่อสงครามโลกครั้งที่  1 วันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2457 ท่านได้โทรศัพท์ติดต่อกองลูกเสือทุกกองในอังกฤษ เรียกประชุมด่วน เพื่อรับใช้ประเทศ (Nation service) ในระยะเวลาเพียงชั่วโมงแรกที่ประกาศสงครามเท่านั้น มีลูกเสือมาประชุมประมาณ 32,000 คน ได้เข้าทำการรักษาการณ์ตามสถานที่สำคัญต่างๆ เช่น ทางรถไฟ  สะพาน  และโทรเลข  ทั่วเกาะอังกฤษ  และยังช่วยทำหน้าที่เป็นสื่อข่าว ช่วยเหลือในโรงพยาบาล  ลูกเสือสมุทรผลัดเปลี่ยนกันอยู่เวรยามตามเวรยามตามชายฝั่งทะเลตอนใต้ของอังกฤษ  และได้ปฏิบัติงานช่วยชาติอยู่จนถึงวันที่  7  มีนาคม  พ.ศ. 2463 (ค.ศ. 1920)

      ในปี พ.ศ. 2463 มีลูกเสือทุกประเทศทั่วโลก  ได้มาร่วมการชุมนุมกันที่กรุงลอนดอน เป็นการชุมนุมลูกเสือโลกครั้งแรก ในการประชุมครั้งนี้  ลูกเสือทั้งหลายพร้อมใจกันประกาศยกย่องให้ บี.พี. ดำรงตำแหน่งประมุขคณะลูกเสือโลก (Chief Scout of The World) 

       เมื่อกิจการลูกเสือมีอายุครบรอบ  21 ปี เมื่อปี พ.ศ. 2417   (ค.ศ. 1928) ซึ่งเป็นการบรรลุ “ นิติภาวะ “ ตามกฏหมายอังกฤษและมีลูกเสือทั่วโลกถึง 2 ล้านคนเศษ พระเจ้ายอร์ช ที่ 5 ได้พระราชทานบรรดาศักดิ์ให้ บี.พี. เป็นบารอน  เรียกว่า Lord Baden – Powell of The World  of  Gilwell  ต่อจากนั้นกิจการลูกเสือก็เจริญก้าวหน้าออกไปโดยไม่หยุดยั้ง

      ต่อมาประเทศสหรัฐอเมริกาเห็นความสำคัญและประโยชน์ของการลูกเสือมาก  จึงได้นำไปตั้งกองลูกเสือขึ้นในสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่  2  (พ.ศ. 2543) รองจากชิลี  (พ.ศ. 2545)

        ส่วนประเทศไทยเราตั้งกองลูกเสือเป็นอันดับที่  3 ของโลก โดยก่อตั้งขึ้นที่โรงเรียนมหาดเล็กหลวงขนานนามว่า “ กองลูกเสือกรุงเทพ ฯ ที่ 1 ” (ลูกเสือหลวง) ต่อมาจึงจัดขึ้นตามโรงเรียนต่างๆ และได้ตราข้อบังคับลักษณะการปกครองลูกเสือขึ้นไว้ เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ.  2454  (จึงถือว่าวันที่ 1 กรกฎาคม เป็นวันกำเนิดลูกเสือไทย)

     ในสมัยท่านลอร์ด  เบเดน  เพาเวลล์  กิจการลูกเสือได้เจริญมากแม้พระมหากษัตริย์เองก็ทรงพอพระทัย ท่านลอร์ดได้เที่ยวไปทั่วโลก  เพื่อพบปะกับพวกเด็ก ๆ เพื่อส่งเสริมกิจการลูกเสือให้ก้าวหน้ากว้างขวางยิ่งขึ้น

      หมายเหตุ ในการอยู่ค่ายพักแรมที่เกาะบราวน์ซีครั้งนั้น  บางตำราก็ว่าท่าน  บี-พี ได้ขอให้เพื่อนนายทหารส่งบุตรหลานที่เป็นนักเรียนโรงเรียนรัฐบาลใหม่ ๆ ของอีดันแฮร์โรว์เข้าค่ายร่วมกับเด็กมัธยม  ลูกกรรมกร  จากเมืองบอร์นมัธ  และพูด โดยคิดค่าเข้าค่ายและอาหารคนละ  1 ปอนด์  ส่วนลูกกรรมกรคนละ 3 ชิลลิง  6 เพนนี

      เกาะบราวน์ซีเป็นเกาะเล็ก ๆ อยู่ทางตอนใต้ของเกาะอังกฤษ ตรงหน้าอ่าวเมืองพลูมีความยาวประมาณ 1 ?  ไมล์  กว้างสุดประมาณ ?  ไมล์  มีพื้นที่ประมาณ  560 เอเคอร์  (ประมาณ 1,440  ไร่)  บนเกาะมีตึกใหญ่เดิมเป็นของมิสเตอร์ชารลส์  แวน ราอาลต์  รอบตึกมีที่ดินเหมาะสำหรับการพักแรม บี.พี. ทำหนังสือขออนุญาติเจ้าของเกาะตั้งค่ายพักแรม ปัจจุบันเกาะนี้เป็นสมบัติของชาติอังกฤษ

       การอยู่ค่ายพักแรมครั้งนี้ บี.พี. ใช้กางเต็นท์โดยเช่าจากเมืองบอร์นมัธ  ทำเป็นที่พักนอนโรงครัว  และที่รับประทานอาหาร  ใช้เสื่อทำด้วยฟางปูนอน

       เด็กอยู่ค่ายสวมเสื้อเชิ้ต กางเกงขาสั้น  สวมหมวกปีกพับข้าง  ทุกคืนก่อนจบการประชุมรอบกองไฟมีการสวดมนต์เคารพพระเจ้า แล้วจึงแยกเข้าที่นอน  ส่วน บี.พี. กับพันตรีแมคคาเรนจะมีการปรึกษาหารือถึงกิจการงานก่อนแล้วจึงนอน

ตารางการฝึกอบรมแต่ละวันมีดังนี้

 ตื่นนอนเวลา   06.00  นาฬิกา  แล้วปฏิบัติ

- ล้างหน้า  แต่งตัว  ทำความสะอาดที่พัก

- ดื่มโกโก้ร้อน 1 ถ้วย

- ชี้แจงกิจกรรมประจำวัน

- กายบริหารร่างกายท่ามือเปล่า

- พิธีเชิญธงขึ้นสู่ยอดเขา

- สวดมนต์

- อาหารเช้า

- กิจกรรม

- รับประทานอาหารกลางวัน

- กิจกรรม                      

- ฯลฯ

         ในคืนวันที่ 31 กรกฎาคม บี.พี. จัดให้มีการนั่งรอบกองไฟเป็นครั้งแรก โดยท่านเป็นผู้นำในการประชุมรอบกองไฟ มีการร้องเพลงร่วมกัน และเล่าประสบการณ์ของท่านในอินเดีย และแอฟริกาให้เด็ก ๆ ฟัง เสร็จแล้วทำการปฐมนิเทศชี้แจงผลรายละเอียดต่าง ๆ  กำหนดกิจกรรมที่ทำในวันต่อ ๆ ไป ก่อนปิดการประชุมรอบกองไฟ มีการสวดมนต์ แล้วปิดประชุมรอบกองไฟ ให้เด็กกลับไปนอนในเต็นท์ส่วน บี.พี กับ พันตรีแมคคาเรน ยังคงการปรึกษา  หารือถึงงานที่จะทำต่อไปเสร็จแล้ว  จึงเข้านอน ( ซึ่งเป็นแบบอย่างกิจกรรมลูกเสือในทุกวันนี้ )วิชาที่ทำการฝึกอบรม  ได้แก่  สัญญาณต่าง ๆ การบุกเบิก  การผูกเงื่อน  การทำสะพาน  การคาดคะเนระยะทาง  การอยู่ค่ายพักแรม  การสังเกตและจำ  และการปฐมพยาบาล เป็นต้น

ขณะที่มีการเข้าค่ายห้ามมิให้ผู้อื่นเข้าไปในบริเวณการอยู่ค่ายโดยเด็ดขาด  ยามรักษาการณ์จะปฏิบัติหน้าที่อย่างจริงจัง  แม้แต่เจ้าของเกาะ  พร้อมบุตรชาย  หญิงก็เข้าไม่ได้  ยามซึ่งเป็นเด็กจะคอยส่งตัวกลับบ้านแต่ในวันสุดท้ายของการอยู่ค่ายพักแรม    บี.พี.  จะให้เด็กๆจัดงานการแสดง  โดยให้เชิญแขกคือ  บิดา  มารดา  เจ้าของเกาะ  พร้อมบุตรชาย  หญิง และให้เด็กๆเป็นผู้วางแผนการรับรองเองเมื่อเสร็จจากการอยู่ค่ายพักแรมในครั้งนั้น  บี. พี. ได้รับจดหมายแสดงความยินดี  ชื่นชมมากเพราะเด็กๆ  ได้รับความรู้  ความสนุกสนาน  ช่วยตัวเองได้    รู้จักคิด  ช่วยเหลือผู้อื่นกรแสดงที่จัดในวันสุดท้ายนี้เด็กจะฝึกหัดกันเอง  มีการเล่นเกม  แข่งขัน  สาธิตวิชา  ปัจจุบันพยาบาล  ดับเพลิง  ทอเสื่อ  ยูโด  และชักเย่อเวรยามเด็กๆจัดกันเอง  ตั้งแต่เช้าถึง 23.00 น.  แบ่งหน้าที่กัน  ทำครัวจัดอาหารผลัดเปลี่ยนกันอยู่เวร  ทุกคนทำหน้าที่ได้ดีเป็นที่น่าพอใจ ปัจจุบันวงการลูกเสือทั่วโลกจึงถือว่า  การทดลองอยู่เกาะบราวน์ซี  เป็นการเริ่มต้นของลูกเสือโลก  และถือว่า  บี.พี. คือบิดาแห่งลูกเสือโลก

 วาระสุดท้าย          

     เมื่อท่าน  บี.พี มีอายุครบ 80 ปี  พระเจ้ายอร์ชที่ 6 ได้พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ “ออร์เดอร์ ออฟ เมริท ”   ( O.M. ) อันมีเกียรติ ขณะนั้นสุขภาพของท่านลอร์ดเสื่อมลงเรื่อย ๆ ท่านจึงออกจากประเทศอังกฤษ กลับสู่แอฟริกาอีกครึ่งหนึ่งได้พักอยู่ที่บ้านในเมืองไนเยอรรี ประเทศเคนยา (Kenya)  เมื่อพ.ศ.  2481  (ค.ศ.  1938) และท่านถึงแก่กรรมที่นั่นเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2484 ด้วยอาการสงบได้รับยศทางทหารเป็นพลโท มีอายุได้ 83 ปี  10 เดือน  16 วัน ( อีกประมาณเดือนเศษก็จะครบ  84  บริบูรณ์ )   จากชีวประวัติของท่าน  บี.พี.  ตลอดเวลาที่ท่านมีชีวิตอยู่  ท่านเป็นผู้มีความเสียสละอย่างสูงทั้งทางด้านทหารและพลเรือน ทำทุกสิ่งทุกอย่างไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยาก  เพื่อประโยชน์ส่วนรวมมีความกล้าหาญทั้งการปฏิบัติในหน้าที่ราชการ และการผจญภัยส่วนตัว ทำให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่มีคุณค่าแก่ชีวิตมากมาย  ท่านยังได้มอบ     ประสบการณ์อันล้ำค่าแก่เด็ก ๆ ในการก่อตั้งให้กำเนิดลูกเสือโลก แก่เยาวชนชายหญิงทั่วโลก  อันเป็นประโยชน์อย่างยิ่งแก่มนุษยชาติ  มาจนตราบเท่าทุกวันนี้   ภายหลังจากท่านถึงแก่อนิจกรรมแล้ว  ได้มีการเปิดอนุสาวรีย์ของท่าน  ร่างของท่านได้ถูกฝัง ณ สุสาน  Mount Kenya นอนสงบนิ่งอยู่ภายใต้บรรยากาศอันสงบที่ท่านรักและปรารถนา ในปี พ.ศ.  2540 (ค.ศ. 1947) นักบุญเซนต์ยอร์จ  ได้ทำพิธีเปิดอนุสาวรีย์ของท่านลอร์ด  เบเดน  เพาเวลล์  ขึ้นที่ วัดเวสต์มินสเตอร์  ( Westminster  Abbey )  ในกรุงลอนดอน ใครจะไปเที่ยวที่วัดนี้จะพบอนุสาวรีย์ของท่านทางมุมตะวันตกเฉียงใต้ของโบสถ์ คำ  Scout มาจากคำอะไร

S ย่อมาจาก Sincerity แปลว่า  ความจริงใจ

C ย่อมาจาก Courtesy ”  ความสุภาพอ่อนโยน

O ย่อมาจาก Obedience ”  การเชื่อฟัง

U ย่อมาจาก Unit  ”  ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

T ย่อมาจาก Thrifty     ”  ความมัธยัสถ์

ประวัติของ BP ประวัติของ B.P.  ผู้ก่อกำเนิดลูกเสือโลก

         B.P. คือ โรเบิร์ต สติเฟนสัน สไมธ์ เบเดน เพาเวลล์  ( Robert  Stephenson  Smyth Baden Powell  หรือ ลอร์ด  เบเดน  เพาเวลล์  แห่งกิลเวลล์  ผู้ก่อกำเนิดลูกเสือโลก  เป็นชาวอังกฤษเกิดที่ กรุงลอนดอน เกิด เมื่อวันที่  22 กุมภาพันธ์ พ.ศ.  2400  (ค.ศ.  1857) บ้านเลขที่  6 ถนนสเตนโฮฟ และคาส เตอร์เกต     ลอนดอนตะวันตก บิดาชื่อ H.G.Baden Powell  เป็นศาสตราจารย์อยู่ในมหาวิทยาลัยออกฟอร์ด  เป็นพระนักบวช ในคริสต์ศาสนา  สอนวิชาคณิตศาสตร์ และธรรมชาติศึกษาถึงแก่กรรมเมื่ออายุ 64 ปี ขณะที่ B.P. อายุได้ 3 ปีเท่านั้น มารดาชื่อ  เบนรี  แอตต้า เกรซ สไมธ์ของพลเรือเอกวิลเลียม เฮนรี วิลเลียม เฮนรี สไมธ์  มารดาของ B.P.

        ภรรยาคนที่  3  มีบุตรกับบิดา B.P. รวม 10 คน B.P. เป็นบุตรคนที่ 8  (เป็นบุตรชายคนที่ 6)  ต่อมาตายเสีย  3คน คงเหลือ 7 คน (ชาย 6 คน หญิง 1 คน) เมื่อบิดา B.P.  ถึงแก่กรรม มารดา B.P.  จึงคงเลี้ยงบุตรทั้ง  7 คน มาด้วยความเหนื่อยยากมารดา B.P.  บี.พี. ถึงแก่กรรมเมื่ออายุ 90 ปีเศษ (พ.ศ. 2457)

         วัยเด็ก พ.ศ. 2400 – 2419 ( ค.ศ.  1857 – 1876 )  เมื่อเล็กก่อนเข้าโรงเรียน มารดาเป็นผู้สอน อ่าน เขียน  ทำเลข และวาดเขียน ขณะเมื่อมาพักผ่อนอยู่กับคุณตา คุณตาฝึกว่ายน้ำ เล่นสเกต ขี่ม้า  หัดวัดปริมาณแสงแดดในเวลากลางวัน  สังเกตดวงดาวเวลากลางคืน B.P.  ชอบร้องเรียนเสียงสัตว์และเสียงนกต่างๆ ชอบแสดงท่าขบขันต่าง ๆ    

         เมื่ออายุ 11  -12 ปี เข้าเรียนในโรงเรียนประจำ “ โรส  ฮิลล์ ” ( Rose  Hill ) ซึ่งเป็นโรงเรียนประถมศึกษา เป็นโรงเรียนใกล้บ้าน ชอบหนีไปเที่ยวในป่าหลังโรงเรียนสังเกตรอยเท้าสัตว์ ฟังเสียงสัตว์ 4 เท้า และนก ชอบเล่นกีฬา ชอบเป็นผู้นำ

        เมื่ออายุ  13 – 19 ปี ต่อมาย้ายไปอยู่โรงเรียน Tunbridge well เมื่อเรียนจบ เข้าเรียนต่อในชั้นมัธยมศึกษาที่ชาเตอร์เฮาส์  อยู่เป็นนักเรียนประจำ  เป็นโรงเรียนปับลิคสกูลของอังกฤษ   เรียนอยู่    2 ปี ก็ย้ายออกไปอยู่ชนบทนอกกรุงลอนดอน ณ เมืองโกคาลมิง แคว้นเซอร์เรย์ รอบ ๆ บริเวณโรงเรียนเป็นป่า  มีลำธาร B.P.  ฝึกกีฬาฟุตบอล  ฟันดาบ  ยิงปืน  ขี่ม้าโต้วาที  วาดภาพ แสดงละคร ฯลฯ  เมื่อจบการศึกษา จึงสอบเข้าที่โรงเรียนนายทหาร ณ  แซนเฮอร์สต์ ( Sandhurst )

   ชีวิตทหาร พ.ศ.  2419 – 2453  (ค.ศ.  1876 – 1910)

     B.P.  ศึกษาอยู่ในโรงเรียนนายร้อยได้ 2 ปี สอบได้อันดับ 5 จากนักเรียนทั้งหมด 718 คน  ได้ยศร้อยตรีแห่งกองทัพอังกฤษ  เมื่ออายุ 19 ปี ออกประจำการที่กรมทหารม้าฮุสซาร์ที่  13 ในอินเดีย อยู่นานถึง 8 ปี     (ค.ศ.1876 – 1884 ) ครั้งสุดท้าย ได้ยศร้อยเอก ระหว่างรับราชการใหม่ ๆ ได้เงินเดือนปีละ  120 ปอนด์ B.P. ใช้จ่ายอย่างอดออม

งดการสูบบุหรี่  หาเงินจุนเจือโดยการเขียนเรื่องลงหนังสือพิมพ์ และเลี้ยงม้าขาย จึงพอใช้จ่ายระหว่างเป็นทหารมีการย้ายไปอยู่อินเดีย และแอฟริกา

   ปี พ. ศ.  2413 (ค.ศ.  1888) ปราบกบฎ ซูลู

  B.P.  อายุได้  31 ปี ได้ยศร้อยเอกได้รับคำสั่งให้ไปปราบกบฎพวกซูลู ในแอฟริกาซึ่งมี 

“ ดินิซูลู ” เป็นหัวหน้า แต่จับไม่ได้  เพราะ “ ดินิซูลู”  หนีไปเสียก่อน

 ในการปราบกบฎครั้งนี้ B.P. ได้รับความรู้นำมาใช้ในกิจการลูกเสือ 2 อย่างคือ

1.  บทเพลง “ อินกอนยามา”  มาสอนเด็กๆ

  หัวหน้านำ   Eengonyaa    Gonyama

    ( อินกอน – ยา – มา )   กอน – ยา – มา )

  ลูกคู่  Invooboo yaboh  yaboh    Invooboo

    ( อิน – วู – บู ยา – โบห์ ยา – โบห์  อิน – วู – บู )

2.  สร้อยคอของ ดินิสซูลู แกะด้วยท่อนไม้เล็กๆ ประมาณ 1,000 กว่าท่อน

(บางตำราว่าทำมาจากกระดูกสัตว์ 100 กว่าชิ้น) เป็นเครื่องรางคล้องคอ B.P. นำมาเป็นบีดส์ (Beads )  ใช้เป็นเครื่องหมาย  วูดแบดจ์ มอบให้แก่ผู้บังคับบัญชาลูกเสือที่ผ่านหลักสูตรลูกเสือของกิลเวลล์ปาร์ค

พ.ศ.  2433 – 2436 ( ค.ศ.  1890 – 1993 )

     B.P.  ได้เลื่อนยศเป็นนายพันตรี  ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยทูตทหาร เป็นนายทหารคนสนิทของผู้ว่าราชการ เกาะมอลต้า ทำหน้าที่สืบราชการลับ

     พ.ศ. 2438 ( ค.ศ 1895 )   เมื่อ B.P. ย้ายไปรับราชการที่ไอร์แลนด์ 2 ปี (ค.ศ.1895) ได้รับคำสั่งให้ไปปราบพวก อซันติ ทางฝั่งทะเลแอฟริกาตะวันตก  (ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของประเทศฆามา) ซึ่ง เป็นเผ่าซูลูที่ดุร้าย  มีกษัตริย์ชื่อ  เปรมเปห์  อังกฤษให้ควบคุมคนพื้นเมืองสร้างถนนยาว 74 ไมล์ จากฝั่งทะเลผ่านป่า บึง  ไปยังเมือง ดูมาลี  และทำสนธิสัญญาไม่ค้าทาส  และ รบกวนกัน เปรมเปห์  ผิดสัญญา  เมื่อ บี.พ.  ยกทัพมา ไม่ทันรบกัน  เพราะเปรมเปห์ ขอหย่าศึกยอมแพ้แก่ B.P.  เสียก่อน  ประสบการณ์จากการสงครามครั้งนี้ B.P.  ได้นำมาใช้ในการอบรมลูกเสือคือ 1. การบุกเบิก  ได้แก่  การสร้างสะพาน  การโค่นต้นไม้  การสร้างที่พักชั่วคราว  การใช้ไม้พลองยาวที่มีเครื่องหมายบอกความยาว (ใช้วัดความยาว ความสูง ความลึก ของแม่น้ำ และใช้ค้ำยัน) 2.  ใส่หมวกปีกกว้าง  (ค.ศ.  1896) แบบโคบาลใช้กันแดด ชาวเมืองจึงเรียก B.P. ว่า       “ คันตาไก”  ( Kantakye ) แปลว่าคนหมวกปีกใหญ่  ต่อมาใช้ในกิจการลูกเสือ  3.   B.P.  สังเกตเห็นชาวเมืองแสดงความเป็นมิตรกันด้วยการจับมือซ้าย (มือขวาถือ        อาวุธ) จึงนำมาใช้ในกิจการลูกเสือ ต่อมา B.P.ได้เลื่อนยศเป็น  พันโท พ.ศ.  2439 (ค.ศ. 1896)   B.P.  ได้รับแต่งตั้งเป็นเสนาธิการประจำกองทัพไปปราบกบฏมาตามิลิแลนด์ ซึ่งเป็น เผ่าซูลูพื้นเมืองทรานสวาล ถูกพวกโมเออร์ขับไล่  จึงอพยพไปอยู่ในโรดีเซียตอนใต้  ได้ก่อการกบฎต่ออังกฤษ B.P.  ได้ทำการสอดแนมออกหาข่าวปฏิบัติงานในเวลา กลางคืนด้วยความเข้มแข็ง  พวกมาตามิลิจึงให้ฉายาว่า  “ Impeesa ” (  อิมปิซา )  แปลว่า หมาป่าที่ไม่เคยหลับ (สุนัขป่าที่ตื่นอยู่เสมอ) อเมริกาให้ฉายาว่า “ The Never Sleep ”

    หลังจากนั้นถูกย้ายไปอยู่ในอินเดียอีกครั้งหนึ่ง  เลื่อนยศเป็นพันเอก  เป็นผู้บัญชากรมทหารตรากูนการ์ดที่  5 B.P.  ทำหน้าที่อบรมทหารให้รู้จัก การสอดแนม แบ่งหมู่กันคอยควบคุมรับผิดชอบ แจกรางวัลปฏิบัติงานดีเด่น (เครื่องหมายรูปลูกศรของเข็มทิศ) พ.ศ.  2442 ( ค.ศ.  1899 )    B.P.  ได้รับคำสั่งให้ไปแอฟริกาใต้  เพื่อเตรียมการป้องกันการรุกรานของพวก โบเออร์ (Boer) ซึ่งเป็นชาวฮอลันดา และฝรั่งเศส ที่อพยพไปอยู่แอฟริกาใต้ แถวเมืองทรานสวาล และ ออเรนจ์ฟรีสเตท ตั้งตัวเป็นเอกราชเรียกว่า พวก โมเออร์รีปับลิค  B.P. เดินทางไปถึงประมาณเดือนกรกฎาคม ค.ศ.  1899  ก็จัดระดมทหารฝึกหัดให้เกิดความสามารถหลายด้านจนถึงเดือนกันยายนในปี นั้นได้สำเร็จ 2 กองพัน จัดกองพันหนึ่งรักษาเมือง มูลาวาโย  ส่วน B.P.  นำ อีกกองพันหนึ่งไปรักษาเมือง มาฟอีคิง พวกกบฎโมเออร์ ประกาศสงครามกับ อังกฤษยกทหารไปล้อมเมือง มาฟอีคิง นานถึง 217 วัน ก็ยังตีชิงเมืองไม่ได้  จนกระทั่ง  อังกฤษยกกองทัพไปช่วย พวกโบเออร์ จึงล่าถอยไป

    พ.ศ.  2450 อำลาชีวิตทหาร    เมื่อเสร็จสงครามครั้งนี้  ควีนวิคตอเรียได้เลื่อนยศ B.P.  เป็นพลตรี เมื่อครบ อายุ 50 ปี ปลดเกษียณ เป็นทหารกองหนุนเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ.  2450  (ค.ศ. 1907) รับเงินเดือนครึ่งหนึ่ง และได้เลื่อนยศเป็นพลโท พ.ศ.  2451  (ค.ศ.  1908) กระทรวงกลาโหมขอให้ B.P.  กลับเข้ารับราชการอีกครั้งหนึ่ง ในตำแหน่งผู้บังคับบัญชาหน่วยรักษาดินแดน  ประจำภาคเหนือของอังกฤษ และอีก 2 ปีต่อมาก็ลาออก (เมื่อ พ.ศ.  2453) ชีวิตการเป็นลูกเสือ

    พ.ศ.  2450   B.P.  เห็นความสำคัญของเด็ก จึงรวมเด็ก  20 คน (รวมหลานของท่านอีก 1 คน รวมเป็น 21 คน) จัดพาไปอยู่ค่ายพักแรมที่เกาะบราวน์ซี ( Brownsea Island ) เป็นเวลา 9 คืน  (ตั้งแต่คืนวันที่  31 ก.ค. 2450 ถึงเช้าวันที่ 9 ส.ค.  2450 ) ฝึกระบบหมู่ได้ผลเกินคาด  ในการอยู่ค่ายพักแรมครั้งนี้เสียค่าใช้จ่าย คนละ 3 ชิลลิง 6 เพนนี ส่วนบุตรผู้ที่มีฐานะดีเสียคนละ 1 ปอนด์) ผลการฝึก เกิดความสนุกสนาน ได้ความรู้ ความสามัคคี  ผู้ปกครองพอใจ เด็กพึ่งตนเองได้   การอยู่ค่ายพักแรมครั้งนี้  ถือเป็นการกำเนิดลูกเสือครั้งแรก ในโลก พ.ศ.  2451 (ค.ศ.  1908)    B.P.  ได้เขียนหนังสือลูกเสือสำหรับเด็กชายขึ้น (Scouting for boy) เป็นหนังสือเล่มแรกในองค์การลูกเสือ   กิจการลูกเสือเจริญก้าวหน้าในอังกฤษ อย่างมาก พ.ศ.  2452  (ค.ศ.  1909) B.P.  จัดชุมนุมลูกเสือแห่งชาติขึ้นเป็นครั้งแรกที่พระราชวังคริสตัล (Crystal Palace) ในกรุงลอนดอนมีลูกเสือเข้าร่วม 11,000 คน   B.P.  ได้รับพระราช ทานเหรียญตรา  “ Kinght Commander of the Victorian Order ” มีบรรดาศักดิ์เป็นเซอร์โรเบิร์ต เบเดน เพาเวลล์ กิจการลูกเสือได้แพร่หลาย ออกไปทั่วโลก หมายเหตุ กองลูกเสือในเครือจักรภพจัดตั้งในปี พ.ศ. 2451 (ค.ศ.  1908) ประเทศแคนาดา ประเทศออสเตรเลีย  ประเทศนิวซีแลนด์  พ.ศ. 2452 ( ค.ศ. 1909)   ประเทศอินเดีย ประเทศนอกจักรภพที่ตั้งกองลูกเสือ   พ.ศ.  2452 (ค.ศ.  1909)  ประเทศชิลี   พ.ศ.  2453  (ค.ศ.  1910) ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยนายวิลเลียม บอยซ์       (William Boyce)   พ.ศ.  2454   (ค.ศ. 1911) พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่  6 ทรงสถาปนาเป็นกองลูกเสือไทยขึ้น เมื่อวันที่  1 กรกฎาคม  พ.ศ.  2454 เป็นประเทศที่ 3 นอกเหนือเครือจักรภพ พ.ศ.  2453   (ค.ศ.1910)    จัดตั้งกองลูกเสือหญิงขึ้นในอังกฤษเรียกว่า “ Girl Guide ” โดยมี Lady Baden Powell ภรรยาของ B.P. เป็นผู้ดำเนินการ พ.ศ.  2454  (ค.ศ.  1911)    ตั้งกองลูกเสือสมุทรเสนาขึ้นเป็นครั้งแรก พ.ศ.  2455  (ค.ศ. 1912    สมรสกับมิสโอลาฟ เซนต์แคลร์ โซมส์ เมื่อ  30 ตุลาคม ค.ศ 1912  ( อายุ 55 ปี)  พ.ศ.  2457 – 2461 ( ค.ศ. 1914 – 1918 )    เกิดสงครามโลกครั้งที่  1 ลูกเสืออังกฤษช่วยรักษาสะพาน สายโทรศัพท์ ช่วยทำหน้าที่สื่อสาร  ช่วยงานในโรงพยาบาล ได้รับเหรียญกล้าหาญวิคตอเรีย คอส  11 คน พ.ศ.  2459 (ค.ศ. 1916)    ตั้งกองลูกเสือสำรองขึ้นเป็นครั้งแรกในอังกฤษเรียกว่า “ Wolf Cubs ” ใน อเมริกาเรียกว่า “ Cub Scouts” และเรียบเรียงหนังสือ Wolf Cubs Handbook พ.ศ.  2461 (ค.ศ.  1918)    จัดตั้งกองลูกเสือวิสามัญ (Rover Scouts) ขึ้นในอังกฤษเป็นครั้งแรก (ในอเมริกาเรียกว่า Explorer) พ.ศ.  2462  (ค.ศ.  1919)    B.P.  จัดตั้งสถานฝึกอบรมลูกเสือขึ้นที่  Gillwell  Park เป็นศูนย์การฝึกอบรม ลูกเสือของโลกในอังกฤษ มิสเตอร์เดอบัวส์  แมคลาเรน  ซื้อมอบให้ เดือนกันยายน ค. ศ.  1919 เปิดอบรมผู้บังคับบัญชาลูกเสือรุ่นที่ 1 (19 คน) พ.ศ.  2463  (ค.ศ.  1920)    ประเทศต่าง ๆได้มาประชุมลูกเสือครั้งแรกที่อังกฤษ ตั้ง B.P.  เป็น Chief Scout of the World. พ.ศ.  2465  (ค.ศ.  1922)    B.P.  แต่งคู่มือลูกเสือวิสามัญ  ประชุมลูกเสือโลกครั้งที่  2  ณ  กรุงปารีส และ เพื่อเป็นเกียรติแก่ B.P.  มีการลงมติให้ B.P.  เป็นประมุขของลูกเสือโลก แต่เพียงผู้เดียว พ.ศ.  2469 (ค.ศ.  1926)    ตั้งกองลูกเสือสำหรับเด็กพิการขึ้นในอังกฤษ พ.ศ.  2472 (ค.ศ.  1929)    กษัตริย์อังกฤษทรงเห็นว่า การลูกเสือมีประโยชน์มาก พระเจ้ายอร์ชที่  5 จึง ทรงตั้ง B.P.  เป็น Baron Baden Powell of  Gilwell  มีศักดิ์เป็นสมาชิกสภา ขุนนาง พ.ศ.  2484   (ค.ศ.  1941)    B.P.  ถึงแก่กรรม เมื่อวันที่  8 มกราคม พ.ศ.  2484 ณ ประเทศเคนยา (Kenya)   และศพถูกฝังอยู่ที่นั่น  B.P.  เมื่อมีชีวิตอยู่ได้รับสมญา  3 ชื่อ 1. Kantakye (ผู้สวมหมวกปีกใหญ่) ค.ศ.  1896 ที่เมืองอาซันติ 2. Impeesa หรือ The Wolf Never Sleep (สุนัขป่าที่ตื่นอยู่เสมอ) ค.ศ.  1899 3. Mafeking Defender  (ผู้ป้องกันเมืองมาฟอีคิง) ค.ศ.  1900

ภูมิหลังและกิจการขององค์การลูกเสือโลก ภูมิหลัง ค.ศ.  1907  บี.พี. นำเด็ก  20  คน ไปอยู่ค่ายพักแรมระหว่างวันที่  31 กรกฎาคม – 9 สิงหาคม  1907  (พ.ศ.  2450 )  ที่เกาะบราวน์ซี  ประเทศอังกฤษ เพื่อเป็นการ ทดลอง   ในวงการลูกเสือทั่วโลก ถือว่าการทดลองอยู่ค่ายพักแรมที่ เกาะบราวน์ซีเป็นการเริ่มต้นของลูกเสือโลก ค.ศ.  1908    บี.พี.  เรียบเรียงและจัดพิมพ์หนังสือการลูกเสือสำหรับเด็กชาย (Scouting – For Boys) (พ.ศ.  2451)   และเดินทางไกลไปชี้แจงเรื่องการลูกเสือ ตามจังหวัดต่าง ๆ ในประเทศอังกฤษ ซึ่งทำให้เกิดการจัดตั้งกองลูกเสือขึ้นในประเทศอังกฤษแล้วขยายตัวไปยัง ประเทศต่าง ๆ ในจักรภพอังกฤษ ได้แก่  แคนาดา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ (ค.ศ.  1908) อินเดีย (ค.ศ. 1909) หลังจากนั้น ได้มีการจัดตั้งกองลูกเสือขึ้นใน ประเทศต่าง ๆ เริ่มด้วยประเทศชิลี (ค.ศ.  1909) สหรัฐอเมริกา (ค.ศ.  1910) ไทย (ค.ศ.  1911)  กองลูกเสือไทยตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2454  (ค.ศ. 1911) เป็นประเทศที่ 3 ของโลก นอกจักรภพอังกฤษ ค.ศ.  1909  - จัดชุมนุมลูกเสือ 11,000 คน ณ Crystal Palace ในกรุงลอนดอน (พ.ศ.  2452)  - คิงเอดเวิดที่ 7 พระราชทานตรา Kinght Commander of the Victorian Order ให้แก่ บี.พี.   ทำให้ บี.พี. มีบรรดาศักดิ์เป็น Sir ค.ศ.  1910  จัดตั้งกองลูกเสือหญิง  (พ.ศ.  2453)  ค.ศ.  1911  - ตั้งกองลูกเสือสมุทร  ( พ.ศ.  2453 )    -  เริ่มการแข่งขันยิงปืนระหว่างกองลูกเสือประจำปี ค.ศ.  1912  บี.พี. เดินทางรอบโลกใช้เวลา 7 เดือน เศษ เพื่อตรวจเยี่ยมกองลูกเสือใน ประเทศต่าง ๆ (พ.ศ.  2453)  บี.พี. สมรสกับ มิสโอลาฟ เซนต์แคลร์ โซมส์ บี.พี. เกิดวันที่  22 กุมภาพันธ์ ค.ศ.  1857)  ( ปีมะโรง  ตรงกับวันอาทิตย์ พ.ศ.  2400 )  เลดี้ บี.พี. เกิดวันที่ 22 กุมภาพันธ์  ค.ศ.  1889 ค.ศ.  1919  -  มิสเตอร์ เดอร์บัวส์  แมคคาเรน ซื้อกิลเวลล์ปาร์ค เนื้อที่  57 เอเคอร์ (ประมาณ 142 ไร่) ( พ.ศ.  2453 )  ให้แก่คณะลูกเสืออังกฤษ ต่อมาได้มีการซื้อที่ดินเพิ่มเติมอีกหลายคราวรวมเป็น เนื้อที่  108 เอเคอร์ (270 ไร่)  (ค่ายลูกเสือวชิราวุธมีเนื้อที่ 435 ไร่ 3 งาน 1 ตารางวา) -  บี.พี. เป็นผู้อำนวยการการฝึกอบรมวิชาผู้กำลูกเสือรุ่นแรก จำนวน 19 คน   ที่กิลเวลล์ปาร์ค ผู้สำเร็จการฝึกอบรมได้รับแจก Dinizulu Bead คนละ 1 ท่อน จับนับว่าเป็นการเริ่มต้นของการฝึกอบรมวิชาผู้กำกับลูกเสือขั้นวูดแบดจ์ ค.ศ.  1920  จัดให้มีการประชุมลูกเสือโลกขึ้นเป็นครั้งแรกในกรุงลอนดอนมีประเทศต่างๆ (พ.ศ.  2463)  รวมทั้งประเทศไทยเข้าร่วม รวมประเทศที่เข้าร่วมชุมนุม 21 ประเทศ จำนวน ลูกเสือที่เข้าร่วมชุมนุม 1,505 คน ที่ประชุมผู้แทนลูกเสือประเทศต่างๆ ได้ ประชุมปรึกษากันและลงมติให้ -  จัดตั้งสำนักงานลูกเสือนานาชาติขึ้นที่กรุงลอนดอน -  ให้มีการประชุมสมัชชาลูกเสือโลก ทุก ๆ 2 ปี ค.ศ.  1919  มีการประชุมสมัชชาลูกเสือโลก ครั้งที่  2 ที่กรุงปารีส B.P. จัดพิมพ์หนังสือ   Rovering to Success   (พ.ศ.  2465) ค.ศ.  1924  มีการชุมนุมลูกเสือโลก ครั้งที่ 2  ณ ประเทศเดนมาร์ก  (พ.ศ.  2467)   ค.ศ.  1926  จัดตั้งกองลูกเสือสำหรับเด็กพิการ  (พ.ศ.  2469)   ค.ศ.  1930  เลดี้  B.P.  ได้รับเลือกดำรงตำแหน่งประมุขลูกเสือหญิงแห่งโลก  (พ.ศ.  2473)  ค.ศ.  1938  บี.พี. ออกจากประเทศอังกฤษไปพักที่เมืองไนเยอรี่ ประเทศเคนยา  (พ.ศ.  2481) ค.ศ.  1941  บี.พี.  ถึงแก่อนิจกรรม เมื่อวันที่ 8 มกราคม ค.ศ.  1941 มีหลุมฝังศพอยู่ที่ สุสานเมืองไนเยอรี่    ( พ.ศ.  2484 ) ค.ศ.  1961  ควีนอลิซาเบ็ธที่  2 ทรงประกอบพิธีเปิดอนุสรณ์ B.P. Baden – Powell House   (พ.ศ.  2504 )    ณ  ตำบลควีส์เกต  ในกรุงลอนดอน  เมื่อ  21  ก.ค. 1961

 กิจการขององค์การลูกเสือโลก

สมัชชาลูกเสือโลก  (World Scout Conference)  สมัชชาลูกเสือโลกคือ  ที่ประชุมของคณะลูกเสือประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก เริ่มมีการประชุมกันเป็นครั้งแรก เมื่อปี ค.ศ. 1920 ( พ.ศ.  2463) และหลังจากนั้น จะมีการประชุมทุก ๆ 2 ปี

สมัชชาลูกเสือโลกมีหน้าที่โดยย่อดังนี้ 1. กำหนดนโยบายทั่วไปของคณะลูกเสือโลก 2. พิจารณาสมาชิกใหม่ และตัดสินเรื่องการขับออกจากสมาชิกภาพ 3. เลือกตั้งกรรมการลูกเสือโลก 4. พิจารณารายงานและข้อเสนอแนะของคณะกรรมการลูกเสือโลก 5. พิจารณารายงานและข้อเสนอแนะของคณะกรรมการลูกเสือโลก 6. พิจารณาแก้ไขธรรมนูญและข้อบังคับของคณะลูกเสือโลก

คณะกรรมการลูกเสือโลก (World Scout Committee)  คณะกรรมการลูกเสือโลกประกอบด้วยบุคคล 12 คน จากประเทศสมาชิก 12 ประเทศ เลือกตั้งโดยที่ประชุมสมัชชาลูกเสือโลก กรรมการลูกเสือโลกอยู่ในตำแหน่งคนละ 6 ปี และเลือกตั้งกันเอง เป็นประธาน และรองประธานในการประชุมสมัชชาลูกเสือโลกทุก ๆ 2 ปี จะมีกรรมการ

 

วิชาสุขศึกษา-พละศึกษา

วิชาวิทยาศาสตร์


วิชาเเนะเเนว


วิชาภาษาไทย



คำว่า “ ภาษา” เป็นคำภาษาสันสฤต แปลตามรูปศัพท์หมายถึงคำพูดหรือถ้อยคำ ภาษาเป็นเครื่องมือของมนุษย์ที่ใช้ในการสื่อความหมายให้สามารถสื่อสารติดต่อทำความเข้าใจกันโดยมีระเบียบของคำและเสียงเป็นเครื่องกำหนด ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 ให้ความหมายของคำว่าภาษา คือ เสียงหรือกิริยาอาการที่ทำความเข้าใจกันได้ คำพูดถ้อยคำที่ใช้พูดจากัน

ภาษา แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
ภาษาที่เป็นถ้อยคำ เรียกว่า “ วัจนภาษา” เป็นภาษาที่ใช้คำพูดโดยใช้เสียงที่เป็นถ้อยคำสร้างความเข้าใจกัน นอกจากนั้นยังมีตัวหนังสือที่ใช้แทนคำพูดตามหลักภาษาอีกด้วย ภาษาที่ไม่เป็นถ้อยคำ เรียกว่า “ อวัจนภาษา” เป็นภาษาที่ใช้สิ่งอื่นนอกเหนือจากคำพูดและตัวหนังสือในการสื่อสาร เช่น การพยักหน้า การโค้งคำนับ การสบตา การแสดงออกบนใบหน้าที่แสดงออกถึงความเต็มใจและไม่เต็มใจ อวัจนภาษาจึงมีความสำคัญเพื่อให้วัจนภาษามีความชัดเจนสื่อสารได้รวดเร็วยิ่งขึ้น นอกจากท่าทางแล้วยังมีสัญลักษณ์ต่างๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้นมาใช้ในการสื่อสารสร้างความเข้าใจ อีกด้วย

ความสำคัญของภาษา
ภาษาเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการสื่อสารของมนุษย์ มนุษย์ติดต่อกันได้ เข้าใจกันได้ก็ด้วยอาศัยภาษาเป็นเครื่องช่วยที่ดีที่สุด
ภาษาเป็นสิ่งช่วยยึดให้มนุษย์มีความผูกพันต่อกัน เนื่องจากแต่ละภาษาต่างก็มีระเบียบแบบแผนของตน ซึ่งเป็นที่ตกลงกันในแต่ละชาติแต่ละกลุ่มชน การพูดภาษาเดียวกันจึงเป็นสิ่งที่ทำให้คนรู้สึกว่าเป็นพวกเดียวกัน มีความผูกพันต่อกันในฐานะที่เป็นชาติเดียวกัน
ภาษาเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของมนุษย์ และเป็นเครื่องแสดงให้เห็นวัฒนธรรมส่วนอื่นๆของมนุษย์ด้วย เราจึงสามารถศึกษาวัฒนธรรมตลอดจนเอกลักษณ์ของชนชาติต่างๆได้จากศึกษาภาษาของชนชาตินั้นๆ
ภาษาศาสตร์มีระบบกฎเกณฑ์ ผู้ใช้ภาษาต้องรักษากฎเกณฑ์ในภาษาไว้ด้วยอย่างไรก็ตาม กฎเกณฑ์ในภาษานั้นไม่ตายตัวเหมือนกฎวิทยาศาสตร์ แต่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติของภาษา เพราะเป็นสิ่งที่มนุษย์ตั้งขึ้น จึงเปลี่ยนแปลงไปตามกาลสมัยตามความเห็นชอบของส่วนรวม
ภาษาเป็นศิลปะ มีความงดงามในกระบวนการใช้ภาษา กระบวนการใช้ภาษานั้น มีระดับและลีลา ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆหลายด้าน เช่น บุคคล กาลเทศะ ประเภทของเรื่องฯลฯ การที่จะเข้าใจภาษา และใช้ภาษาได้ดีจะต้องมีความสนใจศึกษาสังเกตให้เข้าถึงรสของภาษาด้วย
องค์ประกอบของภาษา ภาษาทุกภาษาย่อมมีองค์ประกอบของภาษา โดยทั่วไปจะมีองค์ประกอบ 4 ประการ คือ

เสียง
นักภาษาศาสตร์จะให้ความสำคัญของเสียงพูดมกกว่าตัวเขียนที่เป็นลายลักษณ์อักษร เพราะภาษาย่อมเกิดจากเสียงที่ใช้พูดกัน ส่วนภาษาเขียนเป็นสัญลักษณ์ที่ใช้แทนเสียงพูด คำที่ใช้พูดจากันจะประกอบด้วยเสียงสระ เสียงพยัญชนะและเสียงวรรณยุกต์ แต่บางภาษาก็ไม่มีเสียงวรรณยุกต์ เช่น บาลี สันสกฤต เขมร อังกฤษ

พยางค์และคำ
พยางค์เป็นกลุ่มเสียงที่เปล่งออกมาแต่ละครั้ง จะประกอบด้วย เสียงพยัญชนะ เสียงสระ และเสียงวรรณยุกต์ จะมีความหมายหรือไม่มีความหมายก็ได้
พยางค์แต่ละพยางค์จะมีเสียงพยัญชนะต้น ซึ่งเป็นเสียงที่อยู่หน้าเสียงสระ พยางค์ทุกพยางค์จะต้องมีเสียงพยัญชนะต้น เสียงสระ และเสียงวรรณยุกต์ บางพยางค์ก็อาจมีเสียงพยัญชนะสะกดประกอบอยู่ด้วย เช่น “ ปา” พยัญชนะต้น ได้แก่ เสียงพยัญชนะ /ป/ เสียงสระ ได้แก่ เสียงสระ /อา/

เสียงวรรณยุกต์ ได้แก่ เสียง /สามัญ/
ส่วนคำนั้นจะเป็นการนำเสียงพยัญชนะ เสียงสระ และเสียงวรรณยุกต์มาประกอบกัน ทำให้เกิดเสียงและมีความหมาย คำจะประกอบด้วยคำพยางค์เดียวหรือหลายพยางค์ก็ได้

ประโยค
ประโยค เป็นการนำคำมาเรียงกันตามลักษณะโครงสร้างของภาษาที่กำหนดเป็นกฎเกณฑ์หรือระบบตามระบบทางไวยากรณ์ของแต่ละภาษา และทำให้ทราบหน้าที่ของคำ

วิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ

เว็บของเพื่อนๆๆ

10901 ธนากร นิยมรัตร์ tanagon005-blog.blogspot.com 10902 เอกชยา ด้วงทอง ekchaya-blog.blogspot.com 10903 อภิวิชญ์ พงศกรรังศิลป์ apivit...